ตลาดขนาดมหึมาในจีนกำลังเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับอำนาจซื้อ ทัศนคติของผู้บริโภคชาวจีนเริ่มให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าราคา
จากนี้ไปในอีก 10ปี ข้างหน้า พฤติกรรมการบริโภคของชาวจีนจะเปลี่ยนไปขนาดไหน…นี่คือ 10 เทรนด์ที่น่าสนใจจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
-
ชาวจีนชนชั้นกลางจะกลายเป็นผู้บริโภคหลัก การบริโภคในครัวเรือนจีนจะเติบโตในอัตราเฉลี่ยปีละ 6% รายได้ของครอบครัวจะขยายตัวประมาณ 5 %ต่อปี
-
ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปถึง 324 ล้านคน มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มสูงมากขึ้นมีแนวโน้มใช้จ่ายเงินไปกับสินค้าและบริการสุขภาพมากขึ้น อาทิ อาหารเสริม การรักษาโรค การซื้อประกันชีวิต
-
ประชากรที่เกิดระหว่างปี 1990-1999 จะให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี มีลูกเล่นที่หลากหลาย แชร์ประสบการณ์ในโลกออนไลน์ และต้องการผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มมากขึ้น อาทิ ผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับเด็ก การดูแลสุขภาพ การศึกษา
-
มีการขยายตัวของสังคมเมือง (Urbanization) มากขึ้น เช่น เขตเศรษฐกิจใหม่ซงอาน และเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียง
-
มีการขยายเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing Economy) มากขึ้น อาทิ การให้บริการรถรับส่งโดยรถยนต์ส่วนตัว การเช่ารถจักรยาน บริการส่งอาหารเดลิเวอรี่
-
เทคโนโลยี Internet of Things และปัญญาประดิษฐ์ (AI.) เช่น รถยนต์ไร้คนขับและโดรนจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์และการจัดส่งสินค้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
-
กลยุทธ์การตลาดแบบ Personalization จะได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นกลยุทธ์ใหม่ในยุคดิจิทัลมากขึ้น
-
บริษัทที่มีข้อมูลตัวเลขของผู้บริโภคจะเข้าใจตลาดและความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น
-
ปัญหาด้านความเสี่ยงที่อาจเกิดจากเทคโนโลยี เช่น การชำาระเงินออนไลน์มีความสะดวกสบาย แต่ข้อมูลผู้บริโภคไม่มีความเป็นส่วนตัว
-
การใช้จ่ายเงินจะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ รูปแบบการใช้จ่ายแบบตะวันตก จะนิยมซื้อผลิตภัณฑ์อาหารระดับไฮเอนด์ นิยมออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน เข้าฟิตเนส และท่องเที่ยวต่างประเทศ ส่วนการใช้จ่ายแบบจีนนิยมซื้อผลิตภัณฑ์ออแกนิค การรักษาโรค การเดินป่า และดูหนัง
พฤติกรรมและรูปแบบการบริโภคของจีนที่กำลังพลิกโฉมหน้าไปเหล่านี้ เป็นโจทย์ที่ผู้ประกอบการไทยต้องพร้อมปรับตัวเท่าทัน เพื่อนำไปปรับกลยุทธ์การพัฒนาสินค้าและบริการให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดจีน โดยคำนึงถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาพัฒนาสินค้าที่มีนวัตกรรมเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้สูงมากขึ้น
————————————
ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์