2 ยักษ์ใหญ่จีน JD.com อาลีบาบา รุมซื้อผลไม้ไทย ขายผ่าน Supermarket ในเครือ

                ไม่ใช่แค่ผู้นำอีคอมเมิร์ซ แต่โมเดลธุรกิจวันนี้ของทั้ง JD.com  และ Alibaba ยังก้าวสู่การเป็นเจ้าตลาด New Retail ครบวงจร ครอบคลุมถึงการเชื่อมช้อปออนไลน์กับตลาดสด นับตั้งแต่มีการเปิดตัวซูเปอร์มาร์เก็ตสุดไฮเทค “เหอหม่า เฟรช (Hema Fresh)”ของอาลีบาบาในปี 2560 ตามมาด้วย 7Fresh ของ JD.com ที่เปิดตัวเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา  

                หนึ่งในสินค้าที่ขายดิบขายดี คือ ผลไม้นำเข้าจากไทยที่ฮอตฮิตสุดๆ มาดูกันว่า ทั้ง 2 ยักษ์ใหญ่มีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้างในการสั่งซื้อผลไม้จากไทย เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าชาวจีนซึ่งถือเป็นตลาดส่งออกผลไม้ที่มีมูลค่ามหาศาล   

                JD.com ส่ง 7Fresh เซ็นสัญญาซื้อผลไม้ลอตใหญ่ มูลค่านับหมื่นล้าน

                จากรายงานข่าวของ chinanews.com เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวล่าสุดว่า 7FRESH แบรนด์ซูเปอร์มาร์เก็ตระดับพรีเมี่ยมของ JD.com ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อ ม.ค.ปีก่อน และเป็นคู่แข่งสำคัญของ เหอหม่าในเครืออาลีบาบา  มีแผนจับมือร่วมกับ “หย่งฮุย” เชนซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ในจีน สั่งซื้อผลไม้นำเข้าจากไทยมูลค่า 5 พันล้านหยวน (ประมาณ 2.25 หมื่นล้านบาท) เป็นระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้

การลงนามความร่วมมือระหว่าง 7FRESH กับหย่งฮุยซูเปอร์มาร์เก็ต

                หวัง เซี่ยวซง รองประธานอาวุโสของกลุ่ม JD.com และประธานของ 7FRESH กล่าวว่า 7FRESH มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับหย่งฮุยซูเปอร์มาร์เก็ต โดยการบริหารจัดการซัพพลายเชนอาหารสดร่วมกัน จะช่วยส่งผลดีต่อการการพัฒนาช่องทางค้าปลีกอาหารสดแบบครบวงจรที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

                ก่อนหน้านี้  7FRESH ยังได้เซ็นสัญญากับผู้ประกอบการผลไม้หลายรายของไทย สั่งซื้อผลไม้รวมกันมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านหยวน ( ประมาณ  6.75 พันล้านบาท) และในช่วง 3 ปีนับจากนี้ ยังมีแผนสั่งซื้อผลไม้เมืองร้อน 4 ชนิดของไทยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ทุเรียน มังคุด ลำไย และมะพร้าวน้ำหอม

                ที่ผ่านมา 7FRESH  ยังได้ลงนามความร่วมมือกับบริษัทจิงกว่อหยวน (Jinguoyuan) ซัพพลายเออร์ลำไยรายใหญ่ที่สุดของโลกในการจัดซื้อลำไยจากเมืองไทย มูลค่า 500 ล้านหยวน ในช่วงระยะเวลา 3 ปี โดยจะใช้ช่องทางการตลาดแบบ Omni-Channel ที่มีอยู่ทั้งหมดของ 7FRESH เพื่อช่วยผลักดันผลไม้ไทยเข้าสู่ตลาดจีน

                ขณะเดียวกัน  7FRESH ยังได้ร่วมลงนามทำสัญญากับบริษัทจั่นฮุ่ย ฯ  (Zhanhui International Trade Thailand) สั่งซื้อลำไยและมะพร้าวน้ำหอมจากไทย มูลค่า 1 พันล้านหยวน (ประมาณ 4.5 พันล้านบาท) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีอีกด้วย

                ทั้งนี้ จากข้อมูลของ 7FRESH ในปี 2561 ยอดขายทุเรียนหมอนทองของไทยในช่องทางออนไลน์ คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 90% ของสินค้าทุเรียนทั้งหมด ถือเป็นสินค้าขายดีที่ประสบความสำเร็จมาก

                กระแสความนิยมของทุเรียนหมอนทองไทย ทำให้สินค้าทุเรียนโดยภาพรวมยังถือว่าน่าจับตามอง ยอดขายต่อปีของปี 2560 เพิ่มขึ้น 2,600% ขณะที่ปี 2561 ยังถือว่ามีแนวโน้มเติบโตรวดเร็วต่อเนื่อง

            “เฟรชชิปโป” ค่าย Alibaba เซ็นสัญญา 5 ผู้ประกอบการผลไม้ไทย

                ขณะที่ด้านคู่แข่งรายใหญ่อย่าง Alibaba ก็มีความเคลื่อนไหวในการนำเข้าผลไม้ไทยสู่ตลาดจีนเช่นกัน

                จากการเปิดเผยล่าสุดของ บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์  อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ของไทย   ระบุว่า ขณะนี้  “เฟรชชิปโป (Freshippo)” หรือชื่อเดิม “เหอหม่า” ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตออฟไลน์และออนไลน์ ในเครือ Alibaba Group ได้คัดเลือกและเซ็นสัญญากับผู้ประกอบการผลไม้ของไทยจำนวน 5 ราย ให้เป็นผู้ส่งออกทุเรียน มะพร้าว ลำไย และมะม่วงให้กับเฟรชชิปโป อย่างเป็นทางการ และจะเริ่มต้นดำเนินธุรกิจร่วมกันตั้งแต่เดือนเม.ย.2562 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ผลผลิตผลไม้ไทยที่กำลังออกสู่ตลาดมีตลาดรองรับ และจะทำให้เกษตรกรจำหน่ายผลไม้ได้ในราคาที่สูงขึ้น 

              “การร่วมมือกับเฟรชชิปโป ในการขยายตลาดผลไม้ไทยเข้าสู่ตลาดจีนดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่กรมฯ ได้ทำงานเชิงรุกในการผลักดันผลไม้ไทยเจาะตลาดจีน โดยได้เชิญมาเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการผลไม้ไทย เมื่อช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา และประสบผลสำเร็จจนในที่สุดสามารถตกลงทำธุรกิจร่วมกันได้ โดยคาดว่าจะทำให้การส่งออกผลไม้ไทยไปจีนมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเฟรชชิปโปมีแผนที่จะขยายสาขาจาก 100 สาขาเป็น 150 สาขาในปีนี้ และเพิ่มเป็น 2,000 สาขาในปี 2566” อธิบดีบรรจงจิตต์กล่าว

              ทั้งนี้ ในปี 2561 ที่ผ่านมา ไทยส่งออกผลไม้ไปจีนมีมูลค่า 23,152.32 ล้านบาทคิดเป็น 40% ของมูลค่าส่งออกผลไม้ทั้งหมดของไทย ขยายตัว 51.11%

              ด้าน ไพบูลย์ วงศ์โชติสถิต นายกสมาคมผู้ค้าและส่งออกผลไม้ไทย มองว่าความร่วมมือกับเฟรชชิปโปครั้งนี้ จะช่วยในการกระจายผลไม้ไทยเข้าสู่ตลาดจีน เพราะมีช่องทางจำหน่ายทั้งทางออฟไลน์และออนไลน์

              “ สินค้าที่มีโอกาส คือ ทุเรียน มังคุด มะพร้าว แต่ทุเรียนจะต้องให้ความรู้กับผู้ซื้อว่าควรบริโภคเมื่อใด เพราะอาจเสียหายได้ ซึ่งการนำไปขายในตลาดออฟไลน์ ไม่น่ามีปัญหา เพราะมองเห็นตัวสินค้า แต่การขายออนไลน์ ต้องแนะนำผู้ซื้อที่จะนำไปขายให้ดี ว่าทุเรียนจะรับประทานได้เมื่อใด ควรให้ถึงมือลูกค้าแล้วรับประทานได้เลย โดยผู้ประกอบการไทยควรจะร่วมมือกับผู้ประกอบการจีน เช่น การติดสติกเกอร์ระบุวันที่สามารถรับประทานได้ หรือฝึกผู้ที่รับผิดชอบนำไปขายออนไลน์ ให้ดูทุเรียนเป็นว่าจะสุกเมื่อใด บริโภคได้เมื่อใด เมื่อลูกค้าสั่งซื้อแล้ว จะได้คำนวณและจัดส่งได้ถูก นอกจากนี้ควรให้ความรู้แก่ผู้ซื้อในเรื่องการเคาะทุเรียน และการปอกทุเรียนด้วย”

                 สำหรับสถานการณ์การส่งออกผลไม้ มองว่าตลาดยังไปได้ดี ไทยยังส่งออกได้ โดยเฉพาะทุเรียน ลำไย มังคุด ส้มโอ ขนุน มะพร้าวยังเติบโตได้ดี แต่ในอนาคต 3-4 ปีข้างหน้า ต้องคำนึงถึงคู่แข่ง อาทิ เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเกษตรกร/ผู้ประกอบการเองจะต้องเร่งพัฒนา ควบคุมคุณภาพ ผลิตสินค้าตามที่ตลาดต้องการ ซึ่งจะทำให้ผลไม้ไทยแข่งขันได้ต่อไป

                                                                                                             —————————————————

Your email address will not be published. Required fields are marked *