นิคมอุตสาหกรรมฉงจั่ว (ไทย-จีน) เป็น 1 ในนิคมฯ ความร่วมมือข้ามพรมแดน จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นหนึ่งนโยบาย “One Belt One Road” และกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ-การค้ากับกลุ่มประเทศอาเซียน จัดเป็นเขตความร่วมมือด้านกำลังการผลิตระหว่างประเทศของเขตนำร่องการพัฒนาและเปิดสู่ภายนอกเมืองผิงเสียง เขตปฏิวัติเก่าแม่น้ำโย่วเจียง และเขตเศรษฐกิจอ่าวตังเกี๋ย มีเนื้อที่ 100 ตารางกิโลเมตร เป็นดั่งหัวรถจักรสำคัญในด้านเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมและการพัฒนาเมือง
คณะกรรมการเทศบาลเมืองฉงจั่วและรัฐบาลเมืองฉงจั่ว เร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบและยกระดับอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีข้อได้เปรียบอย่าง “น้ำตาล แมงกานีส และไม้” ขณะเดียวกันยังเร่งสร้างและพัฒนาอุตสาหกรรมเกิดใหม่อย่าง พลังงานทางเลือกและวัสดุใหม่ ดึงดูดธุรกิจที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุน เช่น บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด Chalco, COFCO เป็นต้น
ปัจจุบันมีห่วงโซ่อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาลอ้อยแบบหมุนเวียนที่สมบูรณ์แบบ ฐานอุตสาหกรรมเหมืองแร่แข็งแกร่ง อุตสาหกรรมอาหารและพลังงานทางเลือกเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ส่วนอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์เพิ่งเริ่มมีขึ้นมา ปรับเปลี่ยนรูปแบบและยกระดับอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีจุดแข็งสู่อุตสาหกรรมเกิดใหม่เชิงยุทธศาสตร์
ปี 2560 มีมูลค่าการผลิตภาคอุตสาหกรรม 1.0165 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 66.63% สำหรับมูลค่าการผลิตของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีรายได้ 20 ล้านหยวนต่อปีขึ้นไป 9,311 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 35.78% ส่วนมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีรายได้ 20 ล้านหยวนต่อปีขึ้นไป อยู่ที่ 3,352 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 31.46%


1.อุตสาหกรรมน้ำตาลอ้อยหมุนเวียนพัฒนาแบบชาญฉลาด
เมืองฉงจั่ว เป็น “เมืองแห่งน้ำตาลจีน” อุตสาหกรรมน้ำตาล เป็นอุตสาหกรรมเสาหลักอันดับหนึ่งของเมืองฉงจั่ว ปริมาณการผลิตอ้อยอยู่ที่ประมาณ 18 ล้านตันต่อปี บวกกับปริมาณการผลิตน้ำตาลต่อปี คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของมณฑลกวางสี เป็นฐานการผลิตและแปรรูปน้ำตาลอ้อยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ปัจจุบันดึงดูดธุรกิจต่างๆ ให้เข้ามาลงทุน เช่น COFCO, Angel Yeast, น้ำส้มสายชูหมักจากอ้อยยี่ห้อ Hao Qing Chun เป็นต้น ก่อตัวเป็นห่วงโซ่อุตสาหกรรมน้ำตาลหมุนเวียน ที่ผลิตน้ำตาลอ้อย แปรรูปน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ (Refined sugar) เชิงลึก และใช้ประโยชน์จากของเสีย
นอกจากนี้ โครงการผลิตน้ำตาลในเครือมิตรผล เริ่มดำเนินการก่อสร้างอย่างเป็นทางการที่นิคมฯ ฉงจั่ว (ไทย-จีน) แล้ว นับว่านิคมอุตสาหกรรมน้ำตาลกวางสี-จีน เข้าสู่เมืองฉงจั่วอย่างเป็นทางการ และนับว่าได้เพิ่มระดับการยกระดับของอุตสาหกรรมน้ำตาลไปอีกขั้นหนึ่ง การพัฒนาของนิคมฯ เข้าสู่ระยะใหม่ โครงการผลิตน้ำตาลในเครือกลุ่มมิตรผลเป็นผลสำเร็จใหม่ล่าสุดของความร่วมมือระหว่างไทย-จีนสองประเทศ จะมีแรงขับเคลื่อนอุตสาหกรรมน้ำตาลของเมืองฉงจั่ว ตลอดจนทั้งมณฑลกวางสี ให้พัฒนาแบบชาญฉลาด การยกระดับอุตสาหกรรมน้ำตาล กลายเป็นจุดสนใจของทุกวงการ
2.อุตสาหกรรมอาหารอาเซียนก่อตัวเป็นกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรม
เมืองฉงจั่ว เป็น “เมืองแห่งการค้าชายแดนของจีน” มี 4 อำเภอติดกับประเทศเวียดนาม พรมแดนยาวถึง 533 กิโลเมตร เป็นเมืองที่มีพรมแดนยาวที่สุดของมณฑลกวางสี มีท่าเรือประเภทที่ 1 จำนวน 4 ท่าเรือ และท่าเรือประเภทที่ 2 จำนวน 3 ท่าเรือ มีจุดผ่อนปรนการค้าชายแดน 14 แห่ง เป็นเมืองชายแดนที่มีท่าเรือมากที่สุดในจีน มีผลไม้สดนำเข้า-ส่งออกผ่านท่าเรือฉงจั่ว มากกว่า 1.5 ล้านตัน สินค้าประเภทถั่วมากกว่า 2 แสนตันต่อปี อาศัยปัจจัยเอื้ออำนวย ทั้งอุตสาหกรรมเด่นและพรมแดนติดอาเซียน มุ่งสร้างฐานอุตสาหกรรมอาหารอาเซียน เป็นนิคมฯ อาหารที่ส่งออกไปยังอาเซียน ตลอดจนพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก ปัจจุบันดึงดูดธุรกิจแปรรูปสินค้าประเภทถั่วและผลไม้ เช่น HONGDA FOODSTUFF Co.,LTD. ก่อตัวเป็นห่วงโซ่อุตสาหกรรม และกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรม (Industrial Cluster) ที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ
3.พัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือก
ทิศทางการพัฒนาของอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือก และวัสดุใหม่ของนิคมฯ ฉงจั่ว (ไทย-จีน) ยึด “การบุกเบิกแร่ธาตุหายาก แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน รถพลังงานทางเลือก (พลังงานไฟฟ้า) และการผลิตเครื่องจักรพลังงานทางเลือก” เป็นหลัก ปัจจุบันโครงการของธุรกิจต่างๆ เกิดผลเชิงบวกตามมา เช่น รถพลังงานทางเลือก (พลังงานไฟฟ้า) ของ Geeya Technology Co. Ltd., CITIC Dameng เป็นต้น ดึงอุตสาหกรรมปลายน้ำและโครงการซัพพอร์ตเข้าสู่เขตนิคมฯ บรรลุการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกและวัสดุใหม่ หนึ่งในนั้น มี Guangxi Jinya Smart Technology Co., Ltd. เร่งสร้างไลน์การผลิตรถพลังงานไฟฟ้า 2 ล้อ จำนวน 1.5 แสนคันต่อปี และไลน์การผลิตบรรจุภัณฑ์ แผนกพ่นสี แผนกโครงรถ ศูนย์ค้นคว้าวิจัย ฯลฯ โดยส่งออกไปยังประเทศในเอเชียอาคเนย์เป็นหลัก เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว ฯลฯ ส่วนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าประเภทที่ใช้ความเร็วต่ำ จะส่งไปยังฉงจั่วและพื้นที่โดยรอบ เติมพลังขับเคลื่อนใหม่ให้กับการปรับเปลี่ยนรูปแบบและการยกระดับอุตสาหกรรมในเขตนิคมฯ นำผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและสังคมมาสู่ท้องถิ่น
4.อุตสาหกรรมเบาพัฒนาสู่ความเป็นสากล
อุตสาหกรรมเบา ดึงดูดอุตสาหกรรมระดับไฮเอนด์ต่างๆ เช่น เครื่องจักรอุตสาหกรรมไม้ วัสดุตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ โลจิสติกส์ อีคอมเมิร์ซ เป็นต้น อาศัยจุดแข็งด้านทรัพยากรของกวางสีและอาเซียน รวมทั้งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ทำหน้าที่เสมือนเป็น “เมืองหัวสะพานระหว่างฉงจั่ว-อาเซียน นิคมฯ ใช้รูปแบบการชักชวนลงทุนประเภทต่างๆ เพื่อเปิดตลาดและยึดครองตลาดทั้งในและต่างประเทศอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันดึงดูดธุรกิจแปรรูปวัสดุไม้กว่า 38 ราย หนึ่งในนั้น มี 6 ราย เริ่มการผลิตอย่างเป็นทางการแล้ว นอกจากนี้ยังอาศัยจุดแข็งด้านทรัพยากรท่าเรือ และมีอาณาเขตติดกับอาเซียน เขตนิคมฯ จะนำเข้าวัสดุไม้อย่างไม้ยางพาราไทย และดำเนินการแปรรูปขั้นต้นและแปรรูปเชิงลึก นิคมฯ จะทุ่มเทสร้างฐานสาธิตการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากป่าที่ใช้ทรัพยากรหมุนเวียน ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่มีมูลค่าการผลิต 3 หมื่นล้านหยวน รวมทั้งฐานส่งออกผลิตภัณฑ์จากป่าของอาเซียน ขณะเดียวกัน ยังสร้างฐานโลจิสติกส์และจัดแสดงสำหรับผลิตภัณฑ์จากป่าของอาเซียนอีกด้วย