ในที่สุด วันที่ 23 ม.ค. จีนจึงได้ประกาศมาตรการฉุกเฉิน “ปิดเมือง” สั่งห้ามเดินทางเข้าออก เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยเริ่มจากเมืองต้นตอของไวรัสอย่างเมืองอู่ฮั่น ก่อนที่จะประกาศปิดเมืองใกล้เคียงในเวลาต่อมาอีกอย่างน้อย 13 เมือง ส่งผลกระทบต่อชาวจีนราว 33 ล้านคน พร้อมทั้งสั่งเฝ้าระวังเมืองสำคัญอีกหลายเมือง นอกจากนี้ ทางการจีนยังได้ออกคำสั่งห้ามทัวร์จีนออกนอกประเทศ รวมทั้งยุติการขายแพ็กเกจเที่ยวบินและโรงแรมให้ชาวจีนที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ
หลังไวรัสโคโรนาได้แพร่ระบาดไปทั่วจีน ในวันที่ 26 ม.ค. จีนได้ประกาศ ‘ภาวะฉุกเฉินสูงสุด’ ด้านสาธารณสุข ในหลายมณฑลทั่วประเทศ ต่อมาในวันที่ 31 ม.ค. องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศยกระดับไวรัสโคโรนาเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพระดับโลก โดยสถานการณ์การระบาด ณ วันที่ 3 ก.พ.2563 ตามรายงานของ WTO มียอดผู้ติดเชื้อทั่วโลก 17,391 ราย เสียชีวิต 362 ราย โดยในจีน (รวมฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน) มีผู้ติดเชื้อ 17,238 ราย เสียชีวิต 361 ราย นอกจากนี้ ยังมีการระบาดไปในอีก 23ประเทศ ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เนปาล ศรีลังกา อินเดีย ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส ฟินแลนด์ เยอรมนี อิตาลี รัสเซีย สเปน สวีเดน อังกฤษ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
- ปธน.สี จิ้นผิง ปลุกชาวจีนสู้วิกฤติ
นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา รัฐบาลจีนทุกระดับได้ระดมสรรพกำลังจากทั่วประเทศในการรับมือและเปิดเผยข้อมูลสถานการณ์การแพร่ระบาด การป้องกันและการควบคุมเชื้อไวรัสฯอย่างต่อเนื่อง
ในระหว่างนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังได้มีคำสั่งที่สำคัญหลายครั้ง พร้อมทั้งปลุกหน่วยงานและประชาชนให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว โดยย้ำว่า ประเทศจีนต้องพึ่งพากำลังของประชาชนเพื่อคว้าชัยในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ทั้งนี้ ในการประชุมกรรมการประจำกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในวันตรุษจีนซึ่งมีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นประธาน ที่ประชุมยังได้มีการวิจัยค้นคว้า วางแผน และระดมกำลังร่วมกันในการดำเนินการเกี่ยวกับการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ พร้อมทั้งได้จัดตั้งหน่วยงานกลางเพื่อดูแลสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยมี นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง เป็นประธาน และได้รับการมอบหมายจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินทางลงพื้นที่เมืองอู่ฮั่น เพื่อให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ พร้อมมอบแนวทางในการปฏิบัติงานเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯด้วยตนเอง


นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้จัดสรรงบประมาณมากถึง 47,000 ล้านหยวน หรือกว่า 280,000 ล้านบาท (นับจนถึงวันที่ 3 ก.พ.) เพื่อสนับสนุนภารกิจสู้ศึกไวรัสโคโรนา อีกทั้งยังได้ระดมบุคลากรทางการแพทย์กว่า 8,300 คนจากทั่วประเทศ รวมถึงทัพแพทย์ทหารนับพันนายส่งไปปฏิบัติหน้าที่ในมณฑลหูเป่ยที่เป็นศูนย์กลางการระบาด
- ระดมทุกสรรพกำลัง รวมใจเป็นหนึ่ง
ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติ จีนได้ทำให้ทั่วโลกได้เห็นว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยพลังที่มุ่งมั่นของชาวจีน ภาพของการระดมแรงงานกว่า 7,500 คน ก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่แข่งกับเวลาจนแล้วเสร็จใน 10 วัน, เรื่องราวการอุทิศตนของเหล่าฮีโร่ในชุดกาวน์, พยาบาลสาวที่ยอมโกนผมทิ้งทุ่มสุดกำลังเพื่อปฏิบัติหน้าที่, ร่องรอยความเหนื่อยล้าจากภาระอันหนักหน่วงที่ถูกบันทึกไว้ผ่านภาพถ่าย, ชาวจีนที่แห่บริจาคอุปกรณ์ปัองกันไวรัสโคโรนาโดยไม่เปิดเผยตัวตน และเรื่องราวอันน่าประทับใจอีกมากมายนับไม่ถ้วน ฯลฯ ได้กลายเป็นไวรัลที่ถูกแชร์ไปทั่วโลก
ในอีกด้านหนึ่งของวิกฤติ ยังทำให้เห็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในสมรภูมิไวรัสโคโรนาในจีน ไม่ว่าจะเป็น การใช้ “โดรน”เพื่อพ่นยาฆ่าเชื้อ และให้ความรู้ป้องกันโรคระบาด, การใช้หุ่นยนต์ทำหน้าที่ส่งอาหารแทนมนุษย์ให้กับผู้ต้องสงสัยติดเชื้อซึ่งอยู่ระหว่างเฝ้าระวังอาการ, การใช้เทคโนโลยี 5G วินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสโคโรนาผ่านทางไกลสำเร็จเป็นครั้งแรก
หลายบริษัทในจีนได้มีการระดมเงินและความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีเพื่อสู้ศึกไวรัสโคโรนา อาทิ แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง“อาลีบาบา”ทุ่มเงิน 100 ล้านหยวนผ่านมูลนิธิแจ็ค หม่า เพื่อไปพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ทั้งนี้ อาลีบาบายังได้บริจาคเงิน 1,000 ล้านหยวน เพื่อใช้ซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงมอบคอมพิวเตอร์พร้อมระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยทีมนักวิทยาศาสตร์จีนในการค้นหาวิธีการรักษา
นอกจากนี้ บรรดา Tech Company ยักษ์ใหญ่ของจีนอื่นๆ ทั้ง Baidu, Tencent, Huawei และ ByteDance ยังลงขันร่วมกันบริจาครวมแล้วเป็นเงินกว่า 800 ล้านหยวนเพื่องานวิจัยและสิ่งของอื่นๆที่จำเป็น ในส่วนของ Huawei ยังมีส่วนช่วยสร้างโรงพยาบาล “หั่วเสินซาน” ที่สร้างขึ้นมาเพื่อสู้ศึกไวรัสในครั้งนี้โดยเฉพาะ ด้านเครือเจริญโภคภัณฑ์(CP)บริษัทสัญชาติไทยในจีน ได้บริจาคราว 222 ล้านบาท พร้อมยาฆ่าเชื้อแก่มณฑลหูเป่ย พร้อมให้คำมั่นผลิตอาหารคุณภาพปลอดภัยรองรับได้เพียงพอ
ขณะที่ผู้คนทั่วโลกรวมทั้งคนไทยต่างร่วมกันส่งกำลังใจให้ชาวอู่ฮั่นและชาวจีนทั่วประเทศ ด้วยภาษาจีนที่ใช้คำว่า “อู่ฮั่น เจียโหยว” “จงกั๋ว เจียโหยว” แปลความหมายเป็นภาษาไทยว่า “อู่ฮั่น สู้สู้” “ประเทศจีน สู้สู้” เพื่อให้คนจีนทุกคนสู้ ๆ ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้โดยเร็ว