วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 10.17 น. ณ. เขตปลอดอากรและคลังสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จากสาธารณรัฐประชาชนจีน “วัคซีนโควิด-19 คืนรอยยิ้ม ประเทศไทย” โดยเที่ยวบินขนส่งสินค้า TG 675
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายหยาง ซิน อุปทูตรักษาราชการ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าร่วมในพิธีฯ พร้อมถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน
ก่อนเจ้าหน้าที่ลำเลียงตู้ควบคุมอุณหภูมิบรรจุวัคซีนโควิด-19 ออกจากเครื่อง ขึ้นรถขนส่งไปจัดเก็บยังคลังสำรองวัคซีนโควิด-19 องค์การเภสัชกรรม (คลังศรีเพชร DKSH) บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด
เมื่อเสร็จสิ้นพิธี นายกรัฐมนตรีกล่าวแก่สื่อมวลชนว่า ถือเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ที่เราได้ร่วมกันรับวัคซีนล็อตแรกที่มาจากประเทศจีนซึ่งรัฐบาลได้บริหารจัดการการนำเข้าวัคซีนมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่วัคซีนโควิด-19 เป็นความต้องการของคนทั่วโลก รัฐบาลได้พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะนำเข้าวัคซีนมาสู่ประชาชน
สำหรับวัคซีนล็อตต่อไปจะนำเข้ามาตามกำหนดระยะเวลาที่อุปทูตจีนและกระทรวงสาธารณสุขได้รับการยืนยัน
นายกรัฐมนตรียังย้ำว่า วัคซีนที่จะนำเข้ามาทุกระยะเป็นของคนไทยทั้งประเทศ เพื่อจัดหาวัคซีนให้เพียงพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนในประเทศ
อย่างไรก็ตามวัคซีนล็อตแรกที่เข้ามาต้องใช้เวลาเตรียมการเพื่อเข้าสู่การฉีดอีกระยะหนึ่ง โดยมีการจัดลำดับผู้เหมาะสม ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการฯ และความเห็นชอบจาก ศบค. พร้อมย้ำว่าวัคซีนที่นำเข้ามาผ่านการทดสอบคุณภาพเพียงแต่ต้องมีระยะเวลาเตรียมการตามขั้นตอน
ในโอกาสนี้ นายหยาง ซิน อุปทูตรักษาราชการฯ ได้กล่าวภูมิใจที่ได้มาร่วมในงาน “วัคซีนโควิด-19 คืนรอยยิ้ม ประเทศไทย” วัคซีนจากจีนล็อตนี้สะท้อนถึงมิตรภาพอันแนบแน่นของไทย-จีน ซึ่งทำให้ไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่รับวัคซีนผ่านช่องทางพาณิชย์ ตอกย้ำตามคำกล่าวของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนที่ยืนยันว่า วัคซีนควรเป็นสินค้าสาธารณะที่ประชาชนเข้าถึงได้ เพื่อความปลอดภัยของประชาคม
ทั้งนี้ ขอขอบคุณรัฐบาลไทย กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานรัฐ เอกชน ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบุคลากรที่มีคุณูปการทุกคนที่เร่งการผลิตวัคซีนจนทันการนำส่งครั้งนี้ อย่างไรก็ตามโควิด-19 ยังระบาด ทำให้ทั่วโลกยังมีภาระหน้าที่ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และต้องร่วมกันฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขอยืนยันว่ารัฐบาลจีนยินดีที่จะร่วมมือกับไทยเพื่อเอาชนะภาระหน้าที่เหล่านี้เพื่อร่วมคืนรอยยิ้มให้กลับมา
รู้จักวัคซีนซิโนแวคจากจีน
ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า วัคซีนนี้ผลิตโดยบริษัทซิโนแวค ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตยาและชีวเภสัชภัณฑ์สัญชาติจีน เชี่ยวชาญการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายวัคซีนป้องกันโรคระบาด
ที่ผ่านมาซิโนแวคเคยผลิตวัคซีนมาแล้วหลายตัว เช่น วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคมือเท้าปาก สำหรับวัคซีนโควิด 19 ของซิโนแวคเป็นวัคซีนเชื้อตายที่มีชื่อว่า “โคโรนาแวค” (CoronaVac) วัคซีนตัวนี้ทำงานโดยการเหนี่ยวนำระบบภูมิคุ้มกันร่างกายมนุษย์ให้สร้างแอนติบอดีต้านโควิด 19 โดยแอนติบอดีจะยึดติดกับโปรตีนบางส่วนของไวรัสไม่ให้เข้าสู่เซลล์ร่างกาย
วัคซีนเชื้อตายเป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จในการป้องกันโรค และสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียสได้ วัคซีนดังกล่าวได้มีการศึกษาในคนระยะที่ 1, 2 และ 3 ในประเทศบราซิล ตุรกี อินโดนีเซีย และชิลีแล้ว มีการรายงานผลว่าวัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโควิด-19 ทำให้ในปัจจุบันวัคซีนชนิดนี้ได้รับการรับรองให้ใช้ในประเทศจีนเรียบร้อยแล้ว
นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ในการฉีดวัคซีนโควิด 19 “CoronaVac” คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคได้มีข้อแนะนำ ว่า กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้ฉีดในประชาชนอายุ 18-59 ปี จำนวน 2 เข็ม
ห่างกัน 2-4 สัปดาห์ และมีการติดตามเฝ้าระวังอาการภายหลังได้รับวัคซีนแต่ละเข็มเป็นระยะเวลา 30 วันหลังฉีด โดยในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรงแนะนำให้ฉีดห่างกัน 2 สัปดาห์ ห้ามฉีดให้กับผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่อยู่ในภาวะควบคุมไม่ได้ ผู้ที่มีภาวะทางระบบประสาทอย่างรุนแรง หญิงตั้งครรภ์ และควรระวังในการฉีดในกลุ่มหญิงให้นมบุตร ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง นอกจากนี้ สามารถให้วัคซีนโควิด 19 ร่วมกับวัคซีนป้องกันโรคชนิดอื่นได้ โดยเว้นระยะห่างกันอย่างน้อย 14 วัน และขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด 19 สลับชนิดกัน ดังนั้น การฉีดวัคซีนทั้งสองเข็มควรเป็นวัคซีนยี่ห้อเดียวกัน
สำหรับการส่งมอบวัคซีนล็อตแรกจากจีนครั้งนี้ เกิดจากการเจรจากับ บริษัท ซิโนแวค ไลฟ์ ซายน์ จำกัด สาธารณรัฐประชาชนจีน (Sinovac Life Sciences Co.,Ltd., People’s Republic of China) ซึ่งเป็นบริษัทที่สามารถส่งวัคซีนให้ประเทศไทยได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ภายใต้การประสานงานจัดหา โดยสถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย และมอบให้องค์การเภสัชกรรม เป็นผู้ดำเนินการนำเข้า ขึ้นทะเบียนยากับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและกระจายไปสู่ประชาชน ฉีดให้กลุ่มเป้าหมายคนละ 2 โดส ห่างกัน 21 วัน และในเดือนมิถุนายนจะได้รับวัคซีนของแอสตราเซนเนกา 61 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กับทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินไทยโดยสมัครใจ
————————————————-