1 ก.ค.2564 ฉลองครบรอบ 100 ปีของการสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ตลอดศตวรรษแห่งการต่อสู้และฟื้นฟูชาติที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน..กว่า 7 ทศวรรษของการสถาปนา‘สาธารณรัฐประชาชนจีน’ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ ประเทศจีนได้เปลี่ยนตัวเองจากประเทศที่บอบช้ำจากสงคราม ก้าวขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก มีการพัฒนาก้าวกระโดดในทุกๆด้าน นับเป็นความสำเร็จที่น่ามหัศจรรย์และไม่ธรรมดา สำหรับประเทศที่มีอาณาเขตที่อันกว้างใหญ่ มีประชากรถึง 1,400 ล้านคนมากที่สุดในโลก
หนึ่งในความสำเร็จด้านการพัฒนาที่โดดเด่นที่สุดของจีน คือการผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกทางด้านเศรษฐกิจ
ในช่วงเวลา 7 ทศวรรษผ่านมา ขุมพลังทางเศรษฐกิจของจีนเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ได้พุ่งทะยานจาก 6 หมื่นกว่าล้านหยวนในช่วงเริ่มต้นการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน เติบโตต่อเนื่องจนมีมูลค่าทะลุ 100 ล้านล้านหยวนในปี 2563
พัฒนาการทางเศรษฐกิจที่มั่นคงของจีน ส่งผลให้ปัจจุบัน ชาวจีนมีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้นราว 60 เท่า เมื่อเทียบกับเมื่อ 70กว่าปีก่อน ซึ่งรายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวจีนอยู่ที่เพียง 49.7 หยวน หรือราว 250 บาท
จีนได้กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุด เป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุด ประเทศที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุด และประเทศที่มีเงินทุนไหลเข้ามากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2464 เมื่อแรกก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประเทศจีนขณะนั้นยังคงเป็นสังคมกึ่งอาณานิคมกึ่งศักดินา เป็นประเทศที่ล้าหลังและยากจน ประธานเหมา เจ๋อตง เป็นผู้นำจีนรุ่นแรกที่ทำให้จีนลุกขึ้นยืนได้อย่างสง่าผ่าเผย ต่อมาในยุค เติ้ง เสี่ยวผิง เป็นผู้นำจีนที่ได้ชูนโยบายปฏิรูปเปิดประเทศเมื่อราว 40 กว่าปีก่อน ส่งผลให้จีนเติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่อง จนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา
ในปี 2540 จีนประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนสถานะจากประเทศที่มีรายได้ต่ำมาสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลาง และใช้เวลาอีก 12 ปีในการเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงในปี 2553
สมัยที่จีนเริ่มปฏิรูปเปิดประเทศในปี 2521 ขนาดเศรษฐกิจของจีนขณะนั้นมีสัดส่วนเพียง 2.3% ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เมื่อเทียบกับปัจจุบัน ขนาดเศรษฐกิจของจีนได้ขยายสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นถึง 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก นับเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญสูงสุดในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ปัจจุบัน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีนกำลังนำพาจีนรุดหน้าสู่ความแข็งแกร่งและความมั่นคงยิ่งขึ้น โดยยึดมั่นในความเปิดกว้างและความร่วมมือพหุพาคีนิยม เดินหน้าผลักดันยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiatives: BRI) เพื่อเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างสำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับโลก
ในเดือนพ.ย. 2561 จีนยังได้จัดงานมหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติประเทศจีน (China International Import Expo) ขึ้นที่นครเซี่ยงไฮ้เป็นครั้งแรก เพื่อแบ่งปันโอกาสอันดีในตลาดการค้าขนาดใหญ่ของประเทศ พร้อมทั้งเดินหน้าสานต่อความร่วมมือในระดับพหุภาคีเพื่อขยายการค้าและการลงทุนกับประชาคมโลก
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เน้นย้ำถึงการสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น โดยกล่าวว่า การเปิดกว้างเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาและความก้าวหน้า ทั้งยังเป็นกุญแจสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19
เมื่อปี 2563 ขณะที่ส่วนอื่น ๆ ของโลกต่างได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 จนเศรษฐกิจติดลบ แต่เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตสวนกระแส และมีจังหวะของการฟื้นตัวเร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จีนเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ประเทศเดียวที่มีการขยายตัวในปี 2563 GDP ของจีนขยายตัว 2.3% พุ่งทะยานทะลุ 100 ล้านล้านหยวนในปี 2563 โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 101.6 ล้านล้านหยวน
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ หรือ Centre for Economics and Business Research (CEBR) ของอังกฤษ คาดการณ์ว่าจีนจะแซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2571 ซึ่งเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ถึง 5 ปี
เทียบกับเมื่อ 70 ปีก่อน ชาวจีนวันนี้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้จีนสามารถลดจำนวนคนยากจนลงถึง 800 ล้านคน ส่งผลให้จีนเป็นประเทศมีจำนวนชนชั้นกลางมากที่สุดในโลก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การบริโภคของจีนได้กลายเป็นแรงผลักดันหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดและมีศักยภาพมากที่สุดในโลก ข้อมูลสถิติในปี 2561ชี้ให้เห็นว่าประชากรจีนเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศเกือบ 150 ล้านครั้ง และนักท่องเที่ยวชาวจีนกลายเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก
ในวันนี้ประเทศจีนคือขุมพลังทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของโลก ซึ่งผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าสินค้าอุตสาหกรรมทั่วโลก ซึ่งรวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ เหล็ก ปูนซีเมนต์ ถ่านหิน ยานยนต์ เรือ รถไฟความเร็วสูง หุ่นยนต์ สะพาน อุโมงค์ ถนน เครื่องจักร คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และที่สำคัญคือจีนมีสถิติการสมัครเพื่อจดทะเบียนสิทธิบัตรมากที่สุดในโลก ซึ่งมากกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 1.5 เท่า
ปัจจุบัน จีนกำลังพัฒนาจาก “โรงงานแปรรูประดับโลก” ก้าวสู่ผู้นำทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ของโลก ทั้งด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การชำระเงินออนไลน์ ปัญญาประดิษฐ์ บิ๊กดาต้า และบล็อกเชน ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้จีนจะยังคงรักษาบทบาทการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกต่อไปในอนาคต รวมถึงก้าวจากประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาอย่างรวดเร็วไปสู่การพัฒนาคุณภาพสูง
เบื้องหลังความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่น่ามหัศจรรย์ดังกล่าว คือความเพียรพยายามของชาวจีนรุ่นแล้วรุ่นเล่าในการแสวงหาเส้นทางการพัฒนาประเทศ โดยการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้าของการทำให้ประชาชนจีนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น กล่าวได้ว่าหากไม่มีพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็คงไม่มีจีนที่แข็งแกร่งและมั่นคงในยุคปัจจุบัน