“ตอนนี้ในท้องตลาดมีทุเรียน ก่อนหน้ามีมังคุด ฤดูหนาวยังมีลำไย ผลไม้จากไทยถูกส่งเข้าจีนตลอดทั้งปี” สวี่เฟิงที่ทำงานด้านการค้าผลไม้ระหว่างไทย-จีนมากว่า 30 ปี กล่าวขณะให้สัมภาษณ์ สวี่เฟิงเป็นคนไทยที่ทำงานในจีน เขาพูดภาษาจีนได้ดีมาก จนแทบฟังสำเนียงเดิมไม่ออก ในฐานะที่เป็นประธานกรรมการบริหารของ Green leaf International Part., Ltd. ซึ่งก่อนหน้า สวี่เฟิงเป็นตัวแทนบริษัทลงนามข้อตกลง โครงการแปรรูปผลิตภัณฑ์พลอยได้ทางการเกษตรของนิคมอุตสาหกรรมฉงจั่ว (ไทย-จีน) ลงทุนรวม 200 ล้านหยวน ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สวี่เฟิงตัดสินใจลงทุนในจีน ก็คือการค้าผลไม้ที่เฟื่องฟูระหว่างไทย-จีนในช่วงหลายปีมานี้

 


“เจ้าแห่งตลาดผลไม้” ในอาเซียน

            เช่นเดียวกับที่สวี่เฟิงกล่าวไว้ ไทยตั้งอยู่ในเขตร้อน สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย เหมาะแก่การเจริญเติบโตของผลไม้เขตร้อน ทำให้ไทยได้รับการขนานนามว่าเป็น “เจ้าแห่งตลาดผลไม้” ผลไม้กลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวจีน ทำให้ความต้องการด้านคุณค่าทางโภชนาการและความหลากหลายของผลไม้ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น จีนจึงกลายเป็นเป้าหมายที่สำคัญในการส่งออกผลไม้ไทย

            จากข้อมูลของนิตยสาร China-ASEAN Panorama และนิตยสาร TAP (Thai-ASEAN Panorama) ระบุว่าปี 2559 มูลค่าการส่งออกของไทยไปจีน สูงถึง 520 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รักษาการเติบโตไว้ที่ 8% โดยได้ประโยชน์จากการยกระดับเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน หลังจากภาษีศุลกากรลดลงเหลือศูนย์ ทำให้ผลไม้ไทยถูกส่งออกไปยังจีนเพิ่มมากขึ้น โดยจีนจะนำเข้าผลไม้จาก 6 ประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นหลัก ได้แก่ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เมียนมา มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งไทยรักษาอัตราส่วนไว้ที่ 35-55%


ผลไม้ไทยมาถึงประเทศจีนได้อย่างไร

สวี่เฟิงแนะนำว่า ผลไม้ที่บริษัทของพวกเขาส่งออกไปจีน มาจากสวนผลไม้ของบริษัทที่ตั้งอยู่ในไทย และรับซื้อผลไม้ที่เกษตรกรภาคตะวันออกและภาคเหนือของไทยเป็นผู้ปลูก จังหวัดระยอง จันทบุรีและตราด ซึ่งเป็นแหล่งผลิตทุเรียนและมังคุดเป็นหลัก ทำให้ขณะนี้มีพ่อค้าชาวจีนหลายคนแห่กันมาแย่งซื้อในสวนผลไม้

            ผลไม้ที่รับซื้อจากไทย มาถึงจีนได้อย่างไร สวี่เฟิงกล่าวว่า การขนส่งทางอากาศ ทางทะเลและทางบก เป็นรูปแบบการขนส่งหลักในปัจจุบัน

“การขนส่งทางอากาศรวดเร็ว แต่ต้นทุนสูง บริษัทใช้รูปแบบนี้ค่อนข้างน้อย ส่วนการขนส่งทางทะเลต้นทุนค่อนข้างต่ำ ซึ่งก่อนหน้าเลือกการขนส่งทางทะเล โดยเฉพาะผลไม้ที่ส่งไปยังพื้นที่ตะวันออกของจีน มักออกจากท่าเรือของไทย ผ่านฮ่องกงหรือกวางโจว แล้วส่งต่อไปยังเมืองภาคตะวันออกอย่างนครเซี่ยงไฮ้  ส่วนเส้นทางบกจะเป็นไทย-ลาว-ยูนนาน-พื้นที่ภายในจีน หรือ ไทย-เวียดนาม-ผิงเสียง-พื้นที่ภายในจีน”

            สิ่งที่ทำให้สวี่เฟิงรู้สึกตื่นเต้นก็คือ 2 ปีมานี้ เขาเลือกส่งเข้าทางผิงเสียง มณฑลกวางสี เพราะมีข้อได้เปรียบทั้งด้านเวลาและต้นทุน

“ผ่านด่านเมืองผิงเสียง จนไปถึงเมืองในจีน ใช้เวลาเพียง 4 วัน น้อยกว่าการขนส่งทางทะเล 3 วัน บางครั้งต้นทุนของผลไม้แช่แข็ง ยังลดลง 8,000-10,000 หยวน”

ผลไม้หลังจากแพ็คลงกล่องแล้ว ปกติจะส่งไปจีนด้วยตู้คอนเทนเนอร์ห้องเย็น หลังจากผลไม้ไทยเข้าสู่ท่าเรือผิงเสียง จะถูกขนส่งไปยังจุดแบ่งขายในมณฑลต่างๆ ของจีนอย่างรวดเร็ว โดยผ่านระบบโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็น (Cold-Chain Logistics) ข้อได้เปรียบเหล่านี้ ได้ดึงดูดให้สวี่เฟิงมายังผิงเสียง หลังจากไปดูงานหลายครั้ง เขาจึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัทในนิคมอุตสาหกรรมฉงจั่ว (ไทย-จีน) ที่อยู่ไม่ไกลจากผิงเสียง ที่นี่มีนโยบายสิทธิพิเศษที่ล่อใจ นอกจากจะส่งออกผลไม้ไทยไปยังประเทศจีนแล้ว บริษัทยังแปรรูปผลไม้ในเชิงลึกที่นิคมฯ ผลิตทุเรียนอบแห้ง สับปะรดอบแห้ง และลำไยอบแห้งที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวจีน

            ที่นี่ด้านหนึ่งเป็นอาเซียน อีกด้านเป็นจีน การคมนาคมสะดวกมาก ธุรกิจที่คว้าโอกาสด้านธุรกิจผลไม้ไทย-จีน และใช้ประโยชน์จากจุดแข็งด้านท่าเรือ เหมือนกับบริษัท Green leaf International Part., Ltd. นั้นมีจำนวนไม่น้อย เพื่อตอบสนองความต้องการที่จะผ่านด่านเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ท่าเรือผิงเสียงจึงเร่งพิธีการศุลกากรให้รวดเร็วยิ่งขึ้น จากด่านศุลกากรเวียดนาม เข้าสู่เขตการค้าชายแดน หนึ่งคันรถใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง หลังจากแยกบรรจุลงรถแล้ว ประมาณ 15-20 นาที เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการศุลกากร

            พิธีการศุลกากรที่รวดเร็วของผิงเสียง มีความเกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีการฉายรังสี ระบบการฉายรังสี ใช้สำหรับกำจัดโรคและแมลงที่ติดมากับผลไม้นำเข้า ผลไม้ไทยที่บรรจุหีบห่อเรียบร้อยจำนวน 30 ตัน ตั้งแต่ถูกลำเลียงไปบนสายพาน จนฉายรังสีฆ่าเชื้อเสร็จ ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น

            จนถึงปัจจุบัน ท่าเรือผิงเสียงกลายเป็นช่องทางสำคัญในการนำเข้า-ส่งออกผลไม้จีน-อาเซียน ส่วนกวางสีกลายเป็นช่องทางที่ใหญ่ที่สุดในการขนส่งผลไม้อาเซียนเข้าสู่ประเทศจีน มีท่าเรือนำเข้าผลไม้ทั้งหมด 7 ท่าเรือ ซึ่งปี 2559 มีการนำเข้าผลไม้รวม 9.201 แสนตัน มูลค่า 515 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2558 ปริมาณผลไม้ที่นำเข้าผ่านด่านในกวางสีสูงถึง 1.0367 ล้านตัน และเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งเป็นยอดสูงสุดของแต่ละมณฑลในจีน  


การค้าผลไม้ไทย-จีนเข้าสู่ระบบ อี-คอมเมิร์ซ

            หลายปีมานี้ ความเฟื่องฟูของตลาด อี-คอมเมิร์ซ มีอิทธิพลต่อด้านต่างๆ ในสังคม การค้าผลไม้ไทย-จีน ก็เข้าสู่ระบบ อี-คอมเมิร์ซ เช่นกัน ผู้บริโภคใช้คอมพิวเตอร์สั่งซื้อสินค้าในบ้าน หลังจากผลไม้ไทยเข้าสู่ประเทศจีน สามารถส่งตรงถึงมือผู้บริโภค

            หวังเซิ่ง ถือครองกรรมสิทธิ์ในสวนทุเรียนที่ไทยมาหลายปี แต่ก่อนจะส่งออกและขายส่งผลไม้เป็นหลัก เมื่อ 2 ปีก่อน เลือกกลับประเทศ และบุกตลาดอี-คอมเมิร์ซ เขาเล่าว่า “แต่ก่อนเมื่อลูกค้าปักกิ่งต้องการทุเรียน เราจะขนส่งจากไทยเข้าสู่ผิงเสียงและค่อยขายส่งให้กับผู้ค้าส่ง จากนั้นผู้ค้าส่งก็จะส่งต่อไปยังกวางโจว สุดท้ายจะส่งไปยังปักกิ่ง แต่ตอนนี้เราสามารถใช้ช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ในการส่งสินค้าจากไทยเข้าสู่ปักกิ่งได้โดยตรง ไม่เพียงช่วยลดขั้นตอนยุ่งยาก แต่ยังช่วยลดต้นทุนอีกด้วย”

            คล้ายกับแนวคิดในการพัฒนาธุรกิจของหวังเซิ่ง บริษัท Guangxi kaitai E-commerce Co., Ltd. ได้เพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลไม้เขตร้อนทางอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งได้ผลกำไรเป็นที่น่าพอใจ โจวเวย ผู้จัดการใหญ่แนะนำว่า

 “อี-คอมเมิร์ซ ได้ขยายช่องทางการจำหน่ายของเรา ออเดอร์ของอี-คอมเมิร์ซ เพิ่มขึ้นจาก 300 ชิ้นต่อวัน เป็นประมาณ 1,000 ชิ้นต่อวัน ช่วงเวลาห่างกันเพียงประมาณ 1 สัปดาห์เท่านั้น”     

            ปัจจุบันผู้บริโภคชาวจีนสามารถซื้อผลไม้ไทย ผ่านแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซต่างๆ เช่น www.eshopasean.com เป็นต้น ห่วงโซ่อุตสาหกรรมต้นน้ำ-ปลายน้ำที่เกี่ยวข้องก็มีความสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ นิคมอุตสาหกรรมอี-คอมเมิร์ซ กวางสี-อาเซียน, ศูนย์ข้อมูลอี-คอมเมิร์ซ จีน-อาเซียน (ผิงเสียง), โครงการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และอี-คอมเมิร์ซ ในความร่วมมือระหว่างเขตเป่ยโถวและเขตจงเป่า กำลังได้รับการผลักดันตามลำดับ หลังจากรัฐบาลดำเนินการสำเร็จ หวังว่า ผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซ จำนวนมาก รวมถึงธุรกิจไทยจะมาเข้าร่วมด้วย    

Your email address will not be published. Required fields are marked *