ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ตลาดนักท่องเที่ยวเติบโตติดลบทั้ง“จำนวนและรายได้” โดยจากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยอดนักท่องเที่ยวจีนนับตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม 2562 มีจำนวน 6,634,226 คน เติบโตลดลง 3.28 % จากช่วงเดียวกันของปี 2561 ขณะที่รายได้จากตลาดนักท่องเที่ยวจีนตัวเลขอยู่ที่กว่า 3.26 แสนล้านบาท เติบโตลดลง 0.93%


อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าแนวโน้มในครึ่งปีหลังตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้อีกครั้ง เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น โดยเฉพาะในช่วงโกลเด้นวีคหยุดยาววันชาติจีนเดือนตุลาคม ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยราว 2.5-2.7 แสนคน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 10%และน่าจะหนุนให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในปีนี้ถึง 11 ล้านคน แม้จะมากกว่าปีที่แล้วซึ่งมี 10.5 ล้านคน แต่ไม่น่าจะถึงคาดการณ์เดิมที่เคยคาดว่าตัวเลขจะอยู่ที่ 11.5-12 ล้านคน เพราะได้รับผลกระทบจาก 3 ตัวแปรหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจโลกและจีนเติบโตชะลอตัว สงครามการค้าที่ยืดเยื้อ และค่าเงินที่เงินหยวนอ่อนค่าสุดในรอบ 11 ปี ซ้ำเติมด้วยค่าเงินบาทแข็งสุดในภูมิภาค ทำให้นักท่องเที่ยวจีนมีค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในไทยสูงขึ้น 12-13% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว


ในมุมมองของนายกสมาคม ATTA ทิศทางนักท่องเที่ยวจีนมาไทยในอนาคตยังคงเติบโตอยู่แต่ชะลอตัวลง และคงต้องยอมรับความจริงว่า โอกาสนักท่องเที่ยวจีนจะเติบโตก้าวกระโดดสองหลักอย่างในอดีตคงยากแล้ว เพราะมีฐานเดิมที่ใหญ่ บวกกับศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวของสนามบินหลักของไทยเริ่มมีข้อจำกัด โดยปัจจุบันสล็อตการบินในช่วงเวลาที่เหมาะสมเต็มหมดแล้ว เหลือเวลาให้เที่ยวบินมาลงได้เฉพาะในช่วงตี 2 ไปแล้วเท่านั้น ทำให้การเปิดบินเข้ามาจึงไม่มากนัก
ขณะที่การแข่งขันสูงขึ้น เพราะทุกประเทศต่างแข่งกันเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างเวียดนาม ซึ่งมีการอำนวยความสะดวกด้านต่างๆทั้งการทำวีซ่า รวมถึงมีการผ่อนผันเรื่องมัคคุเทศก์ที่ให้คนพากย์นำเที่ยวเป็นคนจีนได้ ขอแค่ให้มีไกด์ท้องถิ่นประจำอยู่บนรถ
“ 6 ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนเข้าเวียดนาม มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 25.2% โดยเฉพาะปี 2559-2560 เติบโตก้าวกระโดดถึง 50% ส่วนปี 2561 เติบโตขึ้น 23% โดยสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนคิดเป็น 32% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดของเวียดนาม สูงกว่าไทยที่มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่เกือบ 30% ผมคิดว่า ไม่เกิน 10 ปี ในแง่ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนไปเวียดนาม จะเติบโตขึ้นมาเทียบเคียงได้กับไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นจุดหมายอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีน อีกประเทศที่น่าจับตา คือ เมียนมา แม้จะเพิ่งเปิดประเทศไม่กี่ปี แต่มีแนวโน้มเติบโตสูงมาก จากเดิมมีนักท่องเที่ยวจีนหลักแสน ทะลุขึ้นมาเป็นหลักล้านภายในเวลารวดเร็ว โดยปี 2561 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนไปเมียนมาเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 140%” วิชิต กล่าว
การทำตลาดนักท่องเที่ยวจีนในยุคนี้จึงมีความท้าทายมากขึ้น นอกเหนือจากปัจจัยด้านการแข่งขันแล้ว ยังมีปัจจัยด้านพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนไป จากอดีตที่ส่วนใหญ่จะนิยมเดินทางในรูปแบบกรุ๊ปทัวร์ เปลี่ยนมาเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง หรือ FIT (Free Individual Travelers)ในสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปรากฎการณ์นี้สะท้อนผ่านจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ใช้ผ่านบริการสมาคม ATTA ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากรุ๊ปทัวร์ใน 2 สนามบินหลัก ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ซึ่งตัวเลขอยู่ที่ 1,964,829 คน (ข้อมูลระหว่าง 1 มกราคม -10 สิงหาคม 2562 ) เติบโตลดลงจากปีก่อน 12.08% และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ
“ จากเมื่อก่อนที่เคยมีนักท่องเที่ยวมาแบบกรุ๊ปทัวร์สัดส่วน 80% กลุ่มนักท่องเที่ยว FIT และครอบครัว มีแค่ 20% ภายในเวลาแค่ 3-4 ปีขยับสัดส่วนขึ้นมาเป็น 50:50 และแนวโน้มในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เชื่อว่าจะเห็นภาพโครงสร้างกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักเปลี่ยนมาเป็นกลุ่ม FIT สัดส่วน 60-70% ขณะที่กรุ๊ปทัวร์ลดเหลือ 30%” วิชิต เล่าว่า เดี๋ยวนี้เราจึงเห็นภาพนักท่องเที่ยวจีนพักในเมือง เดินซื้อของตามห้าง ตระเวนกินอาหารตามสตรีทฟู้ด เช่น เยาวราช ทำการบ้านหาข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ บางร้านคนไทยยังไม่รู้จัก แต่คนจีนรู้จัก เพราะติดตามจากกระแสโซเชียล ในขณะที่ห้องอาหารที่จับกรุ๊ปทัวร์เป็นหลัก กิจการซบเซาจนต้องปิดตัวจำนวนมาก ตอนนี้ รถบัสตกงานกันเยอะ เพราะทัวร์จีนเปลี่ยนไปเป็นกลุ่ม FIT มากขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องเร่งปรับตัว จะเน้นจับกรุ๊ปทัวร์อย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว
“ เดี๋ยวนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไว พฤติกรรมลูกค้ามีการเปลี่ยนตลอด ความต้องการก็หลากหลายมากขึ้น จากแต่ก่อนโปรแกรมทัวร์มีสินค้าตายตัวไม่กี่อย่าง ดีลกับเอเย่นต์ โรงแรมไม่กี่แห่ง เดี๋ยวนี้ กลุ่มบริษัทของเรามีสินค้าเป็นร้อยเป็นพัน ขายทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรมมีให้เลือกทุกประเภทตั้งแต่ 2-6 ดาว”




“แต่ก่อนบริษัทเรารับแต่กรุ๊ปทัวร์ ไม่มี FIT ตอนนี้ ขยับสัดส่วนเป็นลูกค้าทัวร์ 70% FIT 30% และคาดว่าอีก 2 ปีข้างหน้า สัดส่วนจะอยู่ที่ 50:50 โดยเริ่มปรับตัวเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งการแตกไลน์ธุรกิจแบบครบวงจร มีดีลทุกประเภทเพื่อรองรับความต้องการลูกค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ ยังปรับตัวด้านการขาย จากแต่ก่อนคู่ค้าเราคือเอเย่นต์เป็นหลัก ขาย B2B บริษัทกับบริษัทอย่างเดียว แต่เดี๋ยวนี้ แม้แต่ B2C เราก็ทำ โดยเข้าไปขายตรงกับลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราต้องเสริมทีมงานคนรุ่นใหม่เข้ามา ต้องมีการติดต่อทำธุรกิจกับผู้ประกอบการเอเย่นต์ท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) เช่น Ctrip และเว็บท่องเที่ยวต่างๆ มากขึ้น รวมถึงขยาย


“ การทำธุรกิจยุคนี้ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลง อันไหนทำแล้วไม่เวิร์ค ต้องรีบเปลี่ยน ฟังเสียงตอบรับลูกค้า จะมัวยึดติดแต่อดีตเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วว่าเราเคยใหญ่ที่สุดในกรุ๊ปทัวร์ เคยรับนักท่องเที่ยวจีนพีคสุดปีละ 3 แสนคนไม่ได้ เพราะเทรนด์เปลี่ยนตลอด พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ดังนั้น การปรับตัวอันดับแรกสำหรับผู้ประกอบการ คือ คุณต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบออนไลน์เพื่อรองรับลูกค้า FIT มากขึ้น ที่สำคัญ คือ คุณต้องมีความขยันมากขึ้น หมั่นติดตามสถานการณ์ ศึกษารูปแบบพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่มีความต้องการที่หลากหลายและเฉพาะทาง” วิชิต นักธุรกิจไทยที่คร่ำหวอดในตลาดนักท่องเที่ยวจีนฝากทิ้งท้ายถึงการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย