ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวจีนมีความสำคัญอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย หากมองไปในอนาคต คนจีนจะออกไปเที่ยวต่างประเทศมากน้อยแค่ไหน? และประเทศไทยจะยังเป็นปลายทางยอดนิยมอยู่หรือไม่?
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัยกรุงไทย คอมพาส (Krungthai COMPASS) ธนาคารกรุงไทย พร้อมด้วยทีมนักวิจัย ณัฐพร ศรีทอง และพิมฉัตร เอกฉันท์ ร่วมกันเปิดเผยถึงผลวิจัยล่าสุดเรื่อง “เกาะติดทิศทางนักท่องเที่ยวจีน”ซึ่งประเมินถึงทิศทางอนาคตนักท่องเที่ยวจีนในอีก 10 ปีข้างหน้า
ปี 2573 คนจีนเที่ยวนอกทะลุ 334 ล้านคน
จากสถิติในช่วง 5 ปี (ปี 2557-2561) พบว่าคนจีนเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยเติบโตปีละ 8.8% จนมาแตะระดับเกือบ 150 ล้านคน ในปี 2561 ซึ่งหากไม่นับรวมการออกไปเที่ยวฮ่องกง มาเก๊า และ ไต้หวัน ซึ่งกินส่วนแบ่งราว 50-60% พบว่าการเที่ยวต่างประเทศของคนจีนเติบโตสูงถึงปีละ 20%
ในปี 2562 ศูนย์วิจัยกรุงไทยฯ คาดว่า จำนวนคนจีนที่ออกไปเที่ยวต่างประเทศจะอยู่ที่ 160 ล้านคน และจะเติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6.9% เพิ่มขึ้นเป็น 334 ล้านคน ในปี 2573 โดย 3 ปัจจัยหลักที่เป็นแรงหนุนสำคัญ ได้แก่ 1.คนจีนรวยขึ้น สัดส่วนชนชั้นกลางขยายตัวมากขึ้น 2.โครงสร้างประชากรและค่านิยมที่เปลี่ยนไป ทำให้มีนักท่องเที่ยวจีนหน้าใหม่เพิ่มขึ้น 3.โครงสร้างพื้นฐานของจีนและประเทศปลายทางที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวมากขึ้น รวมถึงคนจีนที่มีพาสปอร์ตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
กลุ่มชนชั้นกลางของจีนเติบโตต่อเนื่อง
พิมฉัตร วิเคราะห์ว่า กลุ่มชนจีนที่มีศักยภาพออกไปเที่ยวต่างประเทศมากที่สุด คือ กลุ่มชนชั้นกลางที่มีฐานะไปจนถึงระดับเศรษฐี ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าภายในปี 2573 ประชากรกลุ่มที่มีความมั่งคั่งสูง (Mass affluent and above)จะเพิ่มจำนวนขึ้น จนกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 58.5%
คนจีนรวยขึ้นและในลักษณะกระจายตัวมากขึ้น ความมั่งคั่งของคนจีนไม่ได้กระจุกตัวเฉพาะเขตเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง หรือเซี่ยงไฮ้ เท่านั้น แต่เริ่มเห็นการเติบโตของรายได้ต่อหัวในมณฑลอื่นๆมากขึ้น
นักท่องเที่ยวจีนหน้าใหม่ : กำลังซื้อแห่งอนาคต
คนจีนที่เที่ยวต่างประเทศส่วนใหญ่กว่า 80% เป็นกลุ่มชาว Millennials หรือ Gen Y ที่เกิดปี 2523 – 2543 หรือปัจจุบัน อายุ 20-39 ปี ซึ่งอยู่ในวัยเริ่มทำงาน ชื่นชอบการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลในโลกออนไลน์และเดินทางท่องเที่ยวได้ด้วยตนเอง
ขณะที่หากมองไปในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า กลุ่ม Gen Zและเด็กรุ่นใหม่ที่มีอายุ 10-19 ปี ในปัจจุบันซึ่งมีจำนวนราว 167 ล้านคน จะกลายเป็นโครงสร้างประชากรกลุ่มสำคัญที่จะมาเติมจำนวนนักท่องเที่ยวจีนหน้าใหม่ให้เพิ่มขึ้นราว 33 ล้านคน
จีนมีแผนเพิ่มสนามบินอย่างต่อเนื่อง
อีกหนึ่งปัจจัยหนุนที่สำคัญคือ ด้านโครงสร้างพื้นฐานของจีน ภายในปี 2568 จีนมีแผนเพิ่มสนามบินใหม่อีก 217 แห่ง ส่งผลให้ทั่วทั้งประเทศจะมีสนามบินถึง 450 แห่ง จาก 233 แห่งในปี 2561 นอกจากนี้ ยังมีการขยายเพิ่มเที่ยวบินและเส้นทางการบินระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 15-16%
ขณะที่จำนวนชาวจีนที่ถือพาสปอร์ตยังมีจำนวนเพียง 181 ล้านคน หรือคิดเป็น 13% ของประชากรทั้งหมดในปี 2561 จึงมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก โดยรัฐบาลจีนได้มีการปรับลดค่าธรรมเนียมในการทำพาสปอร์ตลง 25% รวมถึงขยายช่องทางการยื่นพาสปอร์ตออนไลน์ ทำให้คาดว่าจำนวนผู้ถือพาสปอร์ตจีนจะสูงถึง 240 ล้านคนในปี 2563 นอกจากนี้ มาตรการผ่อนคลายด้านวีซ่าของประเทศต่างๆ ยังหนุนให้ชาวจีนเที่ยวเมืองนอกได้ง่ายขึ้น
ไทยต้องปรับตัวอย่างไร? ถ้าไม่อยากเสียแชมป์
ณัฐพร อีกหนึ่งผู้ร่วมทำวิจัยกล่าวว่า ปัจจุบันไทยยังเป็นปลายทางแหล่งท่องเที่ยวอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวจีน คิดเป็นสัดส่วน 15% ของการเดินทางออกนอกประเทศในปี 2561 รองลงมาคือญี่ปุ่น สัดส่วน 12% และเวียดนาม 7% (ไม่นับรวมฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน)
อย่างไรก็ตาม พบว่า ญี่ปุ่นและเวียดนามเติบโตแรงกว่าไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 37% และ 26% ตามลำดับ เทียบกับไทยซึ่งเติบโตอยู่ที่ 23%
ขณะที่ผลสำรวจนักท่องเที่ยวชาวจีนของบริษัทวิจัยด้านการตลาด Nielsen และ Hotels.com พบว่า 2 ปัจจัยที่คนจีนให้น้ำหนักมากที่สุด คือ ด้านความสวยงาม อัตลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว และด้านความปลอดภัย ซึ่งจากการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันการท่องเที่ยวของไทย ในปี 2562 โดย World Economic Forum พบว่าในด้านความโดดเด่นของทรัพยากรธรรมชาติของไทย ติดอยู่ในอันดับ 10 ของโลก และยังคงเป็นแม่เหล็กสำคัญที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน
แต่ประเด็นที่ต้องระวังคือด้านความปลอดภัย ซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 111 จากทั้งหมด 140 ประเทศ จึงอาจเป็นปัจจัยที่บั่นทอนการเติบโตในอนาคต เนื่องจากเป็นปัจจัยทางจิตวิทยาที่ชาวจีนอ่อนไหวสูง นอกจากนี้ ไทยยังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคา โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวียดนาม จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง
ในอนาคต หากไทยจะยืนหนึ่งรักษาตำแหน่งแชมป์ จึงต้องมีจุดขายใหม่ๆเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ด้วยการ “ชูเมืองรอง ครองใจนักท่องเที่ยวจีน” ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นกระแสการเติบโตของการท่องเที่ยวเมืองรองที่มาแรงมากขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดตราด ตรัง แม่ฮ่องสอน เชียงราย และสุโขทัย เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนต้องการแสวงหาประสบการณ์แปลกใหม่ แหล่งท่องเที่ยว Unseen
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกรุงไทย คาดว่า ในปี 2563 นักท่องเที่ยวจีนมาไทยจะเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 5.5 – 7% โดย ประเมินแนวโน้มนักท่องเที่ยวจีนออกเป็น 2 กรณี
กรณีแรก คือ หากไทยสามารถครองสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่ประมาณ 7% ของชาวจีนที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศทั้งหมด เช่นเดียวกับในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนไทยมีโอกาสแตะ 23 ล้านคน ในปี 2573 จากขณะนี้ที่มีจำนวน 11.1 ล้านคน
กรณีที่สอง คือ หากการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม อาจทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเติบโตเพียง 5.5% หรืออยู่ที่ 20 ล้านคนใน 10 ปีข้างหน้า
ดังนั้น ไทยจึงต้องแข่งขันด้วยการรักษาจุดแข็งของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ให้สามารถครองใจชาวจีนได้ต่อเนื่อง รวมถึงเพิ่มความหลากหลายและความพร้อมของแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย และการขยายศักยภาพสนามบินที่สามารถดำเนินการได้ตามแผน
ที่สำคัญผู้ประกอบการไทยควรเพิ่มโอกาสในการทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียจีนมากขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาต่างประเทศได้เปลี่ยนจากรูปแบบกรุ๊ปทัวร์มาเป็นการเดินทางด้วยตัวเอง ช่องทางโซเชียลมีเดียจึงมีความสำคัญมาก โดยจากข้อมูลสำรวจของ Compass Edge พบว่าว่าชาวจีนรุ่นใหม่หาข้อมูลและตัดสินใจเลือกสถานที่สำหรับเที่ยวต่างประเทศจากโซเชียลมีเดียกว่า 40% มากกว่าการหาข้อมูลจากคนใกล้ตัว