ปัจจุบัน นอกจากจีนจะเป็นประเทศคู่ค้าตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยแล้ว ในด้านการลงทุนยังขยายบทบาทขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ขยับขึ้นมาเบอร์หนึ่งในปีที่ผ่านมา จากการเปิดเผยข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ถึงภาพรวมการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) ปี 2562 ซึ่งมีมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 500,000 ล้านบาท พบว่า อันดับหนึ่งเป็นการลงทุนจากจีน มูลค่า 261,701 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงประมาณ 160,000 ล้านบาท
ขณะที่ญี่ปุ่นซึ่งครองแชมป์ผู้ลงทุนหลักของไทยมาโดยตลอดรั้งอยู่ที่อันดับ 2 มูลค่า 73,102 ล้านบาท ตามมาด้วยอันดับ 3 ฮ่องกง 36,314 ล้านบาท โดยการลงทุนจากจีนคิดเป็นสัดส่วน 52% ของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย
“ถ้าถามว่ากระแสการลงทุนจากจีนในปีนี้จะยังมาแรงอยู่มั้ย? เราคาดว่ายังน่าจะแรงอยู่ และมีแนวโน้มที่จะมีการลงทุนจากไต้หวันเข้ามาเพิ่มขึ้นด้วย โดยนอกเหนือจากปัจจัยเรื่องสงครามการค้า ยังมีเรื่องของปัจจัยต้นทุนในจีนที่สูงขึ้น ทำให้เกิดกระแสการย้ายฐานการลงทุนจากจีนไปต่างประเทศ การลงทุนโดยตรงของจีนเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก รวมทั้งอาเซียนและไทย


สำหรับอุตสาหกรรมหลักๆจากจีนที่จะขยายเข้ามาตั้งฐานในไทย มีทั้งกลุ่มที่เข้ามาลงทุนเพื่อใช้ทรัพยากรวัตถุดิบในไทย เช่น อุตสาหกรรมยางพารา กลุ่มที่ต้องการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกไปยังประเทศเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงกลุ่มที่ใช้ไทยเป็นฮับเพื่อเจาะตลาดอาเซียน เช่น อุตสาหกรรมบริการ ซอฟท์แวร์ ออโตเมชั่น” เลขาธิการบีโอไอ ระบุ
จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA กล่าวในงานสัมมนาใหญ่ประจำปี 2563 สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ว่า ธุรกิจกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมเป็นหนึ่งในธุรกิจดาวเด่นที่ได้รับอานิสงส์จากการ Relocation ครั้งใหญ่ของฐานอุตสาหกรรมในจีนออกมานอกประเทศ เนื่องจากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในจีนเริ่มเผชิญกับข้อจำกัดต่างๆ ทั้งต้นทุนค่าแรง ค่าที่ดินที่สูงขึ้น โดยนับตั้งแต่ประกาศยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative (BRI) จีนได้มีย้ายฐานออกมาลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายตลาดและระบายสินค้าที่จีนผลิต Over Supply สู่ตลาดโลก




โจทย์ที่ไทยต้องทำงานหนักคือทำอย่างไรจึงจะดึงให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย ไม่ใช่แค่ดึงเป็นรายบริษัทแต่ต้องดึงเข้ามาทั้งซัพพลายเชน ซึ่งการที่ไทยมีนโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้ไทยกลับเข้ามาอยู่ในแผนที่การลงทุนของโลกอีกครั้ง โดยเฉพาะจีนที่ให้ความสนใจ มีการนำคณะนักลงทุนที่นำโดยเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์มณฑลเดินทางมาเยือนไทยด้วยตัวเอง เพื่อหารือว่าจะมีการเชื่อมโยงความร่วมมือกับยุทธศาสตร์ BRI ของจีนได้อย่างไร และจากตัวเลขล่าสุดของบีโอไอจะเห็นว่า จีนได้ขยับขึ้นมาเป็นผู้ลงทุนอันดับหนึ่ง เช่นเดียวกับตัวเลขลูกค้าจีนและไต้หวันในนิคมอุตสาหกรรมที่ในปีหน้ามีโอกาสที่จะแตะ 70% ของพอร์ตโฟลิโอ” ผู้บริหาร WHA กล่าว
วิเคราะห์ปัจจัยทุนจีนหลั่งไหลเข้าไทย
นับตั้งแต่ไทยและจีนได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2518 ได้กลายเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศได้พัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ต่อมาเมื่อจีนได้เริ่มดำเนินนโยบายเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนระหว่างกันยิ่งขยายตัวมากขึ้น ปัจจุบัน จีนเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับหนึ่งของไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 6 โดยนอกจากจะเป็นทั้งตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง เป็นแหล่งนำเข้าสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทยแล้ว ในปีที่ผ่านมา จีนได้ขยับมาเป็นประเทศที่มีการลงทุนในไทยมากที่สุด
เริ่มจากมุมมองปัจจัยของประเทศไทย อ.หลี่ บอกว่า “ไทยในสายตาของนักลงทุนจีน” คือ หนึ่ง..มีเสถียรภาพทางการเมือง สอง..มีทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ในใจกลางของภูมิภาคอาเซียน ทำให้จีนสามารถเข้ามาลงทุนในไทยเพื่อขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน


สาม..โครงสร้างพื้นฐานและลักษณะภูมิประเทศของไทยค่อนข้างได้เปรียบกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน สี่..พื้นฐานความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างไทย-จีนในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม อีกทั้งยังมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่มีเชื้อสายจีน ทำให้คนจีนมีความรู้สึกใกล้ชิดผูกพันกับไทย ห้า..รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจน ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่มีการขับเคลื่อนโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งการให้สิทธิประโยชน์ที่จูงใจสำหรับนักลงทุน พร้อมทั้งมีการกำหนด 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยต้องการผลักดัน ซึ่งสอดคล้องกับจีนที่มีภาคธุรกิจที่มีความเข้มแข็งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หก..ต้นทุนค่าจ้างแรงงาน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจในไทยค่อนข้างมีความเหมาะสม เมื่อเทียบกับในจีนซึ่งตอนนี้มีค่าใช้จ่ายต่างๆปรับเพิ่มขึ้น ทั้งค่าจ้างแรงงาน ค่าเช่าที่ดิน สถานที่ ฯลฯ เจ็ด..ไทยเป็นฐานการผลิตที่มีแหล่งทรัพยากรวัตถุดิบที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ซึ่งสามารถรองรับอุตสาหกรรมแปรรูปต่างๆของจีนที่เข้ามาลงทุนในไทย


“เมื่อปัจจัยทางฝ่ายไทยมีแรงดึงดูด ขณะที่ฝ่ายจีนมีแรงผลักดัน จึงทำให้เราได้เห็นปรากฏการณ์ที่บริษัทจากจีนเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีทั้งอุตสาหกรรมที่เข้ามาลงทุนเพื่อใช้ทรัพยากรในไทยเป็นวัตถุดิบ เช่น อุตสาหกรรมยางพารา นอกจากนี้ ยังมีการเข้ามาลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทรับเหมาก่อสร้างจีน รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมาร์ทเทคโนโลยีต่างๆ
แนวโน้มในปีนี้ ผมคิดว่าการลงทุนจากจีนจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง และเป็นประเทศผู้ลงทุนที่มีความสำคัญที่มีสัดส่วนการลงทุนอยู่ในอันดับต้นๆ ไม่อันดับ 1 ก็อันดับ 2 ของไทยต่อไปในอนาคต ” อ.หลี่ บอกเช่นนั้น

