พิพัฒน์ รัชกิจประการ เปิดแผนฟื้นท่องเที่ยวไทยหลัง COVID-19

การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้สร้างความท้าทายให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งมีภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ และเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวชาวจีน

เมื่อปี 2562 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39.7 ล้านคน โดยมีนักท่องเที่ยวจีนมากถึง 10.99 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 5.43 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 28% ของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดกว่า 1.93 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา

ท่ามกลางความท้าทายที่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวของไทยกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากทั้งระบบ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ทำงานอย่างหนักร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทยให้กลับมาอีกครั้ง

TAP Magazine ได้รับเกียรติจาก พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้สัมภาษณ์พิเศษถึงแผนการฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งจะดำเนินไปในทาง New Normal เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวให้คงอยู่ ภายหลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย

• COVID-19 ฉุดรายได้ท่องเที่ยวไทย 4 เดือนแรกลดลงกว่าครึ่ง

รมต.พิพัฒน์ กล่าวว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวและกีฬาสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18% ของจีดีพี หรือราว 2.9 ล้านล้านบาท

แต่หลังจากวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้การเดินทางทั่วโลกหยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวไทย โดย 4 เดือนแรกของปี 2563 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 6.69 ล้านคน ลดลง 52.17% ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 5.14 แสนล้านบาท ลดลง 52.07% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

จากผลกระทบที่เกิดขึ้น กระทรวงการท่องเที่ยวฯได้มีมาตรการในการบรรเทา เยียวยา และฟื้นฟูผู้ประกอบการและแรงงานในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งมีการดำเนินการใน 2 ระยะ ในระยะแรก ประกอบด้วย มาตรการด้านการเงินและการคลัง และมาตรการด้านการให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

ส่วนมาตรการในระยะที่สอง มี 6 ด้านสำคัญ คือ มาตรการเสริมสร้างและการรักษาขีดความสามารถด้านการท่องเที่ยว, มาตรการด้านการสร้างรายได้แก่สถานประกอบการท่องเที่ยว, การพัฒนาทักษะบุคลากร, การสร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและด้านสุขอนามัย, การช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

พร้อมกันนี้ ยังได้จัดทำแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภายใต้กลยุทธ์ 5R ซึ่งประกอบด้วย

1. Reboot ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ

2.Rebuild ซ่อมสร้างเพื่อเตรียมความพร้อมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปรับตัวสู่ New Normal เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว และพัฒนาสินค้าและบริการท่องเที่ยวให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น

3.Rebrand เร่งประชาสัมพันธ์และสื่อสารการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ สร้างความเชื่อมั่นทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินึกถึงและตัดสินใจเลือกเดินทางเมื่อสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย

4.Rebound กระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งในระยะใกล้ (Short haul)และระยะไกล(Long haul)ให้กลับมาในระยะเวลาที่รวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง และ

5.Rebalance ปรับสมดุลใหม่การท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดความยั่งยืน

“ในเดือนมิ.ย.นี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เตรียมขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการฟื้นฟูทั้งการซ่อมและสร้างแหล่งท่องเที่ยว วงเงิน 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท จาก พ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท โดยจะบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวเดิมที่ทรุดโทรม และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ส่งเสริมให้การท่องเที่ยวกระจายรายได้สู่ชุมชนมากขึ้น”

• เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่น ปลุกการท่องเที่ยวในประเทศ

สำหรับแผนการฟื้นการท่องเที่ยวไทย กระทรวงการท่องเที่ยวฯจะกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในส่วนของตลาดไทยเที่ยวไทยก่อน โดยเบื้องต้นเฟสแรกจะเริ่มนำร่องจากการท่องเที่ยวภายในภูมิภาคเดียวกัน เช่น ภาคเหนือเที่ยวภาคเหนือ ภาคใต้เที่ยวภาคใต้ โดยยังคงปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับภาคการท่องเที่ยวไทย

รมต.พิพัฒน์ กล่าวว่า ก่อนจะเปิดให้มีการเปิดให้เดินทางท่องเที่ยวทั้งประเทศแบบเต็มที่ กระทรวงการท่องเที่ยวฯยังได้เตรียมความพร้อมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเพื่อรองรับพฤติกรรมและรูปแบบการเดินทางท่องเที่ยวที่จะดำเนินไปในแบบวิถีใหม่ New Normal ผ่านการเปิดตัว โครงการยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย หรือ Amazing Thailand Safety & Health Administration : SHA โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จัดทำมาตรฐาน SHA (Safety & Health Administration) โดยนำมาตรการความปลอดภัยด้านสาธารณสุขผนวกกับมาตรฐานการให้บริการที่มีคุณภาพของสถานประกอบการ เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว

ภายใต้มาตรฐาน SHA ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย ครอบคลุม 10 ประเภทกิจการด้วยกัน ได้แก่ ภัตตาคาร/ร้านอาหาร, โรงแรมและที่พัก สถานที่การจัดประชุม, นันทนาการและสถานที่ท่องเที่ยว, ยานพาหนะ, บริษัทนำเที่ยว, สุขภาพและความงาม, ห้างสรรพสินค้า, กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว, การจัดกิจกรรม/จัดประชุม/โรงละคร/โรงมหรสพ, ร้านค้าของที่ระลึก และร้านค้าอื่นๆ

“การท่องเที่ยวใหม่หลัง COVID-19 จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ปัจจัยเรื่องสุขภาพ ความสะอาด และความปลอดภัยจะเป็นมาตรฐานใหม่ของการท่องเที่ยวที่มีความสำคัญ ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับวิถีใหม่ New Normal

ยกตัวอย่างเช่น บุคลากรด้านการท่องเที่ยวทุกคนต้องผ่านการตรวจ COVID-19 นักท่องเที่ยวต้องผ่านจุดคัดกรองก่อนเข้าสถานที่ท่องเที่ยว รถตู้หนึ่งคันอาจต้องลดจำนวนผู้โดยสารเหลือ 6-8 คน

ด้วยข้อจำกัดของการเว้นระยะห่าง Social distancing ทำให้หลังจากนี้อาจไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้เต็มที่ 100% เท่าเดิม เพราะต้องมีการจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวให้มีความเหมาะสม เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยจาก COVID-19 ” รมต.พิพัฒน์ ฉายให้เห็นถึงภาพการท่องเที่ยวที่จะเปลี่ยนไป ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น แต่ก็เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่าเมื่อมาเที่ยวแล้วจะปลอดภัยไร้การติดเชื้อ

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปลายเดือนเม.ย.จนถึงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ จนทำให้สามารถผ่อนปรนมาตรการล็อคดาวน์มาเป็นระยะ ซึ่งคงต้องรอการพิจารณาในระยะถัดไปว่ารัฐบาลจะเปิดให้มีการท่องเที่ยวได้เมื่อไหร่

“ในกรณีที่สามารถเริ่มเปิดให้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศได้ตั้งแต่เดือน ก.ค. เป็นต้นไป เราตั้งเป้าว่าอยากจะผลักดันการท่องเที่ยวในประเทศในปีนี้ให้ได้ถึง 100 ล้านคน-ครั้ง ผ่านมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในรูปแบบต่างๆ พร้อมทั้งดึงคนไทยที่นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศซึ่งปีที่แล้วมีประมาณ 14 ล้านคนให้หันมากลับเที่ยวเมืองไทย ซึ่งจะเป็นการหมุนเวียนรายได้ในประเทศมากขึ้น”

• คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเดินทางได้ปลายปี

ส่วนการเปิดรับตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงต้องรอติดตามในระยะถัดไป โดยประเมินว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะกลับมาเดินทางได้ในเดือน ก.ย. หรือ ต.ค. โดยระยะเริ่มต้นน่าจะเป็นการกลับมาของนักท่องเที่ยวในแถบเอเชียซึ่ง 4 ตลาดเป้าหมายหลัก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน ซึ่งสามารถควบคุมการระบาดได้ดี และเป็นตลาดนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่

“ ไอเดียหนึ่งที่ผมเสนอให้มีการผลักดัน คือ โมเดลการท่องเที่ยวแบบใหม่โดยล็อคดาวน์เกาะท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตให้เป็นพื้นที่ปลอดเชื้อ โดยมีเงื่อนไขว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องเข้ามาพำนักอย่างน้อย 14 วัน เดินทางโดยบินตรงเข้าสู่สนามบิน และห้ามเดินทางข้ามจังหวัดในระหว่างที่พำนัก เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง และต้องการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวพักผ่อนในพื้นที่มั่นใจได้ว่าปลอดภัยจากการติดเชื้อ100%”

สำหรับเป้าหมายการฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทย ในปีนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯตั้งเป้าหมายคงรายได้รวมจากการท่องเที่ยวปี 2563 ไว้ที่ 1.23 ล้านล้านบาท หรือลดลงไม่เกิน 60% จากปีที่แล้วซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 2.96 ล้านล้านบาท โดยตั้งเป้าตลาดนักท่องเที่ยวไทยในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านคน-ครั้ง ส่วนตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ททท.ตั้งเป้าตัวเลขไว้ที่ 14 ล้านคนซึ่งถือเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างท้าทาย

• หวังดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทยหลัง COVID-19

นอกจากนี้ รมต.พิพัฒน์ ยังได้กล่าวถึงตลาดนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดนักท่องเที่ยวอันดับหนึ่งว่า “ปีที่แล้ว เรามีนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวเมืองไทยมากถึง 10.99 ล้านคน แม้ในช่วงที่ต้องเผชิญวิกฤตการแพร่ระบาด COVID-19 ที่ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวต้องหยุดชะงัก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนกลับใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือกันและกัน ทั้งการส่งกำลังใจและบริจาคสิ่งของเพื่อร่วมกันต่อสู้กับวิกฤต COVID-19

เมื่อสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย และมีการเปิดการท่องเที่ยวอีกครั้ง เราหวังว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกที่นักท่องเที่ยวจีนนึกถึง และเชื่อมั่นในมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของไทย ด้วยความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก และการมีกลไกอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)กว่า 1.04 ล้านคนคอยช่วยคัดกรองเฝ้าระวังในระดับพื้นที่ โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยทุกคน จะต้องผ่านมาตรการคัดกรองว่าไม่มีการติดเชื้อตั้งแต่ก่อนเดินทางเข้าประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังมีนโยบายทำประกันสุขภาพคุ้มครองการติดเชื้อ COVID-19 ให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกคนที่เดินทางมาเที่ยวไทย

ดังนั้น ขอให้พี่น้องชาวจีนสบายใจได้ว่า เมื่อท่านมาเที่ยวเมืองไทยจะได้รับการดูแลต้อนรับอย่างดีที่สุด โดยก่อนที่จะเปิดให้มีการเดินทางท่องเที่ยว ททท.ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในจีน 5 มณฑล จะมีการสื่อสารเพื่อโปรโมทแพคเกจโปรโมชั่นต่างๆผ่านสื่อในประเทศจีน โดยประเมินว่านักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มกลับมาเที่ยวเมืองไทยได้อีกครั้งได้ในช่วงวันชาติจีนเดือน ต.ค.ปีนี้ หรืออย่างช้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีหน้า”

ท้ายที่สุด รมต.พิพัฒน์ กล่าวถึงความท้าทายของการเข้ามากุมบังเหียนดูแลการท่องเที่ยวไทยในยุควิกฤต COVID-19 ว่า “ต้องยอมรับว่า ครั้งนี้เป็นวิกฤตการท่องเที่ยวที่ร้ายแรงที่ยังไม่มีรัฐมนตรีคนใดเคยเจอมาก่อน อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสามารถนำพาประเทศชาติให้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ โดยมีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวให้กลับมาสร้างรายได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป”


 

Your email address will not be published. Required fields are marked *