Bank of China พันธมิตรเคียงข้างความสำเร็จธุรกิจไทย-จีน

ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจไทย-จีน ไม่ได้เพียงแต่ภาคการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวเท่านั้นที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังมีการเชื่อมโยงสนับสนุนทางด้านการเงินเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หนึ่งในสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญ คือ ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จำกัด (มหาชน) ในเครือ “Bank of China” ซึ่งเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 26 ปี

เนื่องในโอกาส 45 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน หลี่ เฟิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้จัดการใหญ่ประจำธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงก้าวย่างธุรกิจไทย-จีน ทั้งในด้านเศรษฐกิจการค้า การลงทุน และภาคการเงินที่เจริญรุดหน้ามาอย่างต่อเนื่อง

‘ประเทศไทย’ หัวใจสำคัญของอาเซียน

ซีอีโอ ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) กล่าวว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่มีความสำคัญต่อแผนกลยุทธ์ของ Bank of China ซึ่งเข้ามาดำเนินธุรกิจวิเทศธนกิจ (BIBF) ครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2537 ซึ่งต่อมาได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบภายใต้ชื่อ “ธนาคารแห่งประเทศจีน จำกัด สาขากรุงเทพฯ” เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2540 หลังจากนั้นจึงยกระดับมาเป็น “ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จำกัด (มหาชน)” เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2557 ภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นบริษัทลูกของธนาคารแห่งประเทศจีน (ฮ่องกง) จำกัด หรือ BOCHK เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2560 เพื่อตอบโจทย์กลยุทธ์การลงทุนและพัฒนาธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน

หลี่ เฟิง กล่าวว่า Bank of China มีเครือข่ายทั่วโลกกว่า 61 ประเทศ รวมถึง 10 ประเทศของอาเซียน ในด้านการบริการ“การค้าระหว่างประเทศ” Bank of China ยังมีบทบาทเป็นธนาคารตัวกลางชำระเงินระหว่างประเทศ (Settlement) และเคลียลิ่งแบงค์สำหรับเงินหยวน (RMB Clearing Bank) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

วิสัยทัศน์ของ ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) คือการเป็นธนาคารจีนที่ให้บริการดีที่สุดในประเทศไทย และเป็นพันธมิตรทางการเงินที่เชื่อถือได้ที่ให้บริการแก่ธุรกิจจีน-ไทย ปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) มีสำนักงานสาขา 9 สาขา ทั้งในเขตกรุงเทพฯและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ สำนักงานใหญ่สาทร, รัชดาฯ, ตลาดไท, บางนาซึ่งอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล สาขาระยองในภาคตะวันออก, สาขาขอนแก่นและนครราชสีมาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, สาขาเชียงใหม่ในภาคเหนือ และสาขาหาดใหญ่ในภาคใต้ นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจศูนย์บริการวีซ่าจีนในไทย ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัทลูก “ไชน่า บริดจ์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด”

หลี่ เฟิง กล่าวว่า ในปี 2555 Bank of China ได้จัดตั้งสาขาในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง ซึ่งมีธุรกิจกว่า 100 รายที่เป็นลูกค้าของเรา นอกจากนี้ ยังได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้ารัฐวิสาหกิจรับเหมาก่อสร้างและวิศวกรรมของจีน อาทิ CSCEC (ก่อสร้าง), CRCC (รถไฟ), Sinohydro (ก่อสร้าง) รวมถึง CHEC (โครงสร้างพื้นฐานและวิศวกรรมทางทะเล) และ HUAWEI ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย

นอกเหนือจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจจีน Bank of China ยังมุ่งส่งเสริมยุทธศาสตร์เชิงท้องถิ่น (Localization Strategy) ด้วยการขยายฐานลูกค้าธุรกิจไทยซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและธุรกิจครอบครัวที่มีชื่อเสียง รวมถึงกลุ่มธุรกิจที่มีการลงทุน การนำเข้าและการส่งออกในประเทศจีน

ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) ได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่มีความหลากหลาย ธนาคารได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ รวมถึงมีส่วนร่วมในการผลักดันธุรกรรมเงินหยวนเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและขยายโอกาสทางธุรกิจในจีนให้กับผู้ประกอบการไทย โดยช่วยลดขั้นตอนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องผ่านเงินสกุลอื่น เพิ่มโอกาสและผลตอบแทนในการเจรจาตกลงทางการค้าระหว่างกันมากขึ้น

“ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ยอดการทำธุรกรรมการค้าด้วยเงินหยวนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ปีที่ผ่านมา บริการชำระดุลเงินหยวนของเรามีการขยายตัวสูงขึ้นถึง 70% โดยมีมูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้านหยวนในปี 2562 ในอนาคตไทยและจีนยังมีโอกาสที่จะขยายธุรกรรมเงินหยวนระหว่างกันเพิ่มขึ้น จากการเชื่อมโยงเศรษฐกิจการค้าการลงทุนระหว่างไทย-จีน และอาเซียน รวมถึงนโยบายผลักดันเงินหยวนสู่สากลของจีน

นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของสกุลเงินหยวนยังสูงกว่าเงินสกุลหลักอื่นๆ อันเป็นผลมาจากเศรษฐกิจจีนที่ยังคงแข็งแกร่ง จึงเป็นโอกาสในการถือครองสินทรัพย์เพื่อกระจายความเสี่ยงและบริหารผลตอบแทนการลงทุนสำหรับสถาบันการเงิน บริษัทไทยและนักลงทุนชาวไทย”

ซีอีโอ ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) ยังกล่าวด้วยว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รัฐบาลจีนมีนโยบายเปิดกว้างการนำเข้าเพื่อการพัฒนาร่วมกัน ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับการขยายตลาดส่งออกสินค้าไทยซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยปีละกว่า 10 ล้านคน Bank of China เป็นธนาคารพันธมิตรแห่งเดียวของงานแสดงสินค้านำเข้านานาชาติจีน (China International Import Expo: CIIE) ที่นครเซี่ยงไฮ้ ในการจัดงานแสดงสินค้านำเข้านานาชาติจีนเมื่อปีที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) ได้เป็นเจ้าภาพเชิญนักธุรกิจไทยจากภาคธุรกิจต่างๆเช่นสินค้าอาหาร ยางพารา และเครื่องประดับอัญมณีมากกว่า 50 รายไปร่วมงาน โดยอำนวยความสะดวกในด้านการจองโรงแรม การสั่งซื้อตั๋วเครื่องบิน และการแปลต่างๆ อีกทั้งได้จัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างผู้นำเข้าสินค้าจากจีนกับผู้ประกอบการจากไทย ทำให้มีมูลค่าการนำเข้าและการส่งออกจากการเจรจาการค้าในครั้งนั้นมากกว่า 100 ล้านหยวน

มุมมองต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-จีน

ในมุมมองของหลี่ เฟิง ประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศที่มีความโดดเด่น มีพื้นฐานในการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ดี และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศจีน ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีนได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว รวมถึงด้านการเงิน

“ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ การลงทุนของจีนในไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงปี 2561-2562 ซึ่งมีบริษัทจีนจำนวนมากเข้ามาลงทุนและตั้งโรงงานในเมืองไทย ทั้งในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง, นิคมอุตสาหกรรม WHA ในชลบุรีและระยอง และนิคมอุตสาหกรรมอีกหลายแห่งในอยุธยา”

นอกเหนือจากด้านสิทธิประโยชน์การลงทุนแล้ว หลี่ เฟิง วิเคราะห์ว่า จุดเด่นที่สำคัญของไทย คือ การมีห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่มีความสมบูรณ์และครบวงจร โดยเฉพาะด้านชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งยังมีราคาที่ดินต่ำกว่าพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลจีน และมีความได้เปรียบด้านต้นทุนค่าจ้างที่อาศัยแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เมียนมาและกัมพูชา

นอกจากนี้ ไทยยังมีโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆเพื่อรองรับการลงทุน เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง, โครงข่ายโทรคมนาคม 5G, อุตสาหกรรมพลังงานใหม่ ฯลฯ ขณะที่จีนเองมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมการผลิตและวิศวกรรมการก่อสร้าง ทั้งสองประเทศจึงมีโอกาสขยายความร่วมมือกันได้อีกมาก

“หลังจากผ่านช่วง COVID-19 ไปแล้ว ผมเชื่อมั่นว่าการลงทุนจากต่างประเทศในไทยจะยิ่งเติบโตมากขึ้น อาจกล่าวได้ว่า วิกฤตครั้งนี้เป็นเหมือนกับบททดสอบประเทศต่างๆ ซึ่งไทยสามารถแสดงผลงานในการรับมือการแพร่ของโรคระบาดได้ดี สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาล การให้ความร่วมมือของประชาชน และความแข็งแกร่งของระบบสาธารณสุขไทย อันจะส่งผลดีต่อการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติที่ย่อมต้องการลงทุนในพื้นที่ที่ปลอดภัย ถือเป็นการเสริมจุดแข็งเดิมที่ไทยมีความพร้อมในการเป็นฐานผลิตอยู่แล้ว” หลี่ เฟิง กล่าว

หลี่ เฟิง ยังกล่าวด้วยว่า หลังจากช่วงการระบาดของ COVID-19 หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า การส่งออกของไทยมีแนวโน้มจะติดลบ 8-10% แต่ปรากฏว่า การส่งออกในช่วง 4 เดือนแรกของไทยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับโครงสร้างการส่งออกของไทยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก การส่งออกทางด้านรถยนต์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ยานยนต์ปรับตัวลดลง ส่วนการส่งออกข้าว สินค้าอาหาร อุปกรณ์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ขยายตัวเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวสอดรับกับตลาดภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปได้

“ในช่วงเผชิญการแพร่ระบาด COVID-19 ทั้งจีนและไทยต่างจับมือช่วยเหลือฝ่าฟันวิกฤตไปด้วยกัน และต่างได้รับบทเรียนและประสบการณ์อย่างยาวนานจากโรคระบาดครั้งนี้ เพื่อนำไปฟื้นฟูพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น

ในฐานะที่จีนและไทยเป็นมิตรประเทศและมีความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน ผมเชื่อว่า หลังจากสถานการณ์ COVID-19 ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งจีนและไทยจะสามารถผลักดันความร่วมมือในด้านต่างๆ ทั้งด้านการค้า การลงทุน นวัตกรรมเทคโนโลยี และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นให้แก่ทั้งสองประเทศ” ซีอีโอ ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) กล่าวด้วยความเชื่อมั่น


 

Your email address will not be published. Required fields are marked *