“แปลงจีนให้เป็นโอกาสอย่างรู้เท่าทัน” โจทย์ท้าทาย ก้าวใหม่สัมพันธ์ไทย-จีนหลัง COVID-19

ท่ามกลางสถานการณ์ใหม่ COVID-19 จุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลต่อภูมิรัฐศาสตร์ ระเบียบโลกใหม่ การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ ความสัมพันธ์ไทย-จีนยุคใหม่นับจากนี้จะก้าวต่อไปอย่างไร? อะไร? คือทิศทางที่ต้องตีโจทย์ให้แตกเพื่อ “แปลงจีนให้เป็นโอกาสอย่างรู้เท่าทัน”

ติดตามคำตอบได้จากมุมมองกูรูเศรษฐกิจจีน รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา และผู้เขียนหนังสือ The Rise of China จีนคิดใหญ่ มองไกล

เศรษฐกิจจีน-อาเซียน แนบแน่น..หลัง COVID-19

อ.อักษรศรี เปิดประเด็นโดยวิเคราะห์ว่า ทิศทางใหญ่ที่จะดำเนินไปหลังจากนี้ กระแสภูมิภาคนิยม (Regionalism) จะทวีความสำคัญมากขึ้น หลัง COVID-19 ที่จะเป็นจุดจบของโลกาภิวัตน์ (Globalization)

ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐ จะทำให้เกิดการเขย่าห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) แตกออกเป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมกับจีน พยายามแยกออกจากการเชื่อมกับสหรัฐ เศรษฐกิจจีนจะลดการพึ่งพาสหรัฐเพื่อลดความเสี่ยงจากสงครามการค้า ต่างฝ่ายต่างยืนบนขาตัวเอง สร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา หรือที่เรียกกันว่า The Great Decoupling โลกที่แตกแกนออกเป็นสองข้างระหว่างแกนจีนกับแกนสหรัฐ

“จากจุดจบของโลกาภิวัฒน์ที่มาพร้อมกับกระแสภูมิภาคนิยม และการแตกแกนโลกสองขั้วระหว่างจีน-สหรัฐ ทำให้จีนน่าจะหันมาให้ความสำคัญกับเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพสูงอย่างอาเซียนมากขึ้น เกิดการหันมาค้าขายลงทุนกันเองในภูมิภาค มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันมากขึ้น จะเห็นได้จากสถิติการค้าล่าสุดในไตรมาสแรกของปี 2020 นี้ที่อาเซียนได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของจีน แซงหน้าอียูและสหรัฐแม้ว่าจะเกิดวิกฤต COVID-19”

จีนคิดใหญ่ มุ่งสร้างเส้นทางสายไหมดิจิทัล

อีกหนึ่งทิศทางที่น่าจับตา คือ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ของจีนที่ไม่ได้มุ่งเพียงแค่การสร้างเส้นทางสายไหมทางกายภาพ ด้วยการเชื่อมโยงเส้นทางค้าทางบก ทางทะเลแบบเดิมๆ แต่ยังมุ่งไปสู่การสร้างเส้นทางสายไหมดิจิทัล (Digital Silk Road) เพื่อปูทางไปสู่ความร่วมมือกันในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล

จีนยุคนี้ไม่ได้ส่งออกเพียงแค่สินค้า หรือส่งออกนักลงทุนจีนและนักท่องเที่ยวจีน แต่ยังลุ่มลึกในการส่งออกแพลตฟอร์มจีน เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Lazada ที่มีอาลีบาบาเป็นเจ้าของ หรือแพลตฟอร์มวิดีโอด้านความบันเทิงอย่าง TikTok ของสตาร์ทอัพจีนที่หลายคนต่างคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน

ล่าสุด จีนยังได้ทดลองนำร่องการใช้เงินหยวนดิจิทัลใน 4 เมืองสำคัญของจีน เพื่อรองรับวิถีชีวิตในยุคดิจิทัล และปูทางให้เงินหยวนดิจิทัลกลายเป็นเงินสกุลหลักของโลก อีกทั้งในการประชุมสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติของจีน CPPCC ที่ผ่านมา ยังได้มีการเสนอให้มีการร่วมมือกันของ 4 สกุลเงินสำคัญในเอเชีย คือ เงินหยวนจีน เงินเยนญี่ปุ่น เงินวอนเกาหลีใต้ และเงินดอลลาร์ฮ่องกง เพื่อสร้างเงินดิจิทัลเพื่อใช้ในภูมิภาค หรือ Regional Stablecoin ซึ่งสะท้อนถึงการมุ่งสู่ทิศทางเศรษฐกิจดิจิทัลภายใต้ยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมดิจิทัล(Digital Silk Road)

“ ถ้าเราตีโจทย์เหล่านี้แตก ทั้งบริบทโลกที่จะเปลี่ยนไปหลัง COVID-19 และการมุ่งสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของจีน จะทำให้เห็นถึงทิศทางข้างหน้าของรูปแบบความสัมพันธ์ไทย-จีนที่จะเปลี่ยนไปจากเดิม สิ่งสำคัญคือเราจะแปลงจีนให้เป็นโอกาสเพื่อประโยชน์ร่วมกันอย่างรู้เท่าทันได้อย่างไร” อ.อักษรศรี กล่าว

แปลงจีนให้เป็นโอกาสด้วย 2D

ในระยะยาว ด้วยศักยภาพด้านเศรษฐกิจ จีนมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่เพียงต่อเศรษฐกิจไทย แต่ยังมีบทบาทในระดับโลก แม้ในระยะสั้น เศรษฐกิจจีนอาจจะสะดุดไปบ้างจากวิกฤต COVID-19 แต่ถ้ามองก้าวข้ามไปในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ภาพใหญ่ระดับโลกที่จะเห็นคือ China’s Century หรือ“ศตวรรษแห่งจีน”มาแน่

ในมุมมองของ อ.อักษรศรี การจะใช้โอกาสในการเติบโตไปกับจีน จึงต้องใช้นโยบาย “แปลงจีนให้เป็นโอกาสอย่างรู้เท่าทัน” ด้วยการเน้นทำ 2D ได้แก่ D ตัวแรก – Digitalization การปรับตัวเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจดิจิทัลไปด้วยกัน รวมทั้งเรียนรู้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าของจีน และ D ตัวที่สอง – Diversification เพื่อปรับโครงสร้างการส่งออกของไทยไปจีนและสร้างสมดุลกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ เพื่อเติบโตไปพร้อมกับจีนโดยไม่พึ่งพาจีนมากเกินไปจนเป็นความเสี่ยง

“ ก้าวใหม่ของความสัมพันธ์ไทย-จีนที่ควรเดินต่อไปข้างหน้า คือ การมุ่งสู่การจับมือกันด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งจีนเองก็กำลังมุ่งมาทางนี้ ขณะที่ไทยเองก็มีนโยบายที่เริ่มทำ Digitalization เศรษฐกิจไทยในหลายด้าน เช่น ล่าสุดมีการออกขายพันธบัตรรัฐบาลผ่าน application เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และธนาคารแห่งประเทศไทยก็เริ่มศึกษาการใช้เงินสกุลดิจิทัล Central Bank Digital Currency ผ่านโครงการอินทนนท์ ซึ่งเป็นทิศทางที่สอดคล้องกัน และในปีนี้ ผู้นำจีนและอาเซียนยังได้ร่วมกันกำหนดให้ปี 2020 เป็นปีแห่งความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างจีน-อาเซียน ทำให้มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การพัฒนาความร่วมมือด้านดิจิทัลระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น”

อ.อักษรศรี มองว่า หนึ่งในหนทางที่จะแปลงจีนให้เป็นโอกาส คือ การแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งตอนนี้ มีบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีนหลายแห่งที่มองเห็นศักยภาพของไทย เช่น บริษัทเทคคอมชั้นนำของจีนอย่าง HUAWEI และ Xiaomi ที่เข้ามาเปิดสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กรุงเทพฯ รวมไปถึง Tencent และ Alibaba ที่เข้ามาปักหมุดในไทย

ในด้านของการลงทุน ไทยยังมีโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อรองรับการเข้ามาลงทุนของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคตของจีน รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่จะเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไทย-จีน โจทย์ที่สำคัญวันนี้ จึงอยู่ที่ความพร้อมในด้านบุคลากรของไทย และการปรับตัวเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในทุกภาคส่วน เพื่อเติบโตไปกับจีน ทั้งทักษะด้านภาษาจีน ทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล หากทำได้ ไทยกับจีนจะสามารถจับมือร่วมกันไปได้อีกไกล

การปรับตัวเพื่อใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อแปลงจีนให้เป็นโอกาสยังทำได้ในหลากหลายมิติ ตัวอย่างเช่น การเชื่อมโยงแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวของไทยกับแพลตฟอร์มที่คนจีนให้ความนิยม โดยการแปลเนื้อหาคอนเทนต์ด้านการท่องเที่ยวของไทยที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วให้เป็นภาษาจีน เช่น Wongnai และมีทีมงานที่พร้อมจะสื่อสารโต้ตอบภาษาจีนได้หากมีชาวเน็ตจีนสนใจสอบถามผ่านแพลตฟอร์มเข้ามา ทั้งหมดนี้ เพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายชาวจีนส่วนใหญ่ที่มีวิถีชีวิตผูกติดกับดิจิทัล และเป็นการยกระดับการท่องเที่ยวของไทยสู่ยุคดิจิทัลด้วย

“ ในภาวะ New Normal หลังวิกฤต COVID-19 ที่ทำให้บริบทโลกเปลี่ยน ธุรกิจไทยที่เคยเอนจอยกับการพึ่งพารายได้จากจีนในรูปแบบเดิมๆ อาจจะต้องเริ่มทำใจและเลิกคาดหวังว่า หลังจากนี้ทุกอย่างจะกลับมาดีในเชิงปริมาณเหมือนเดิม โดยเฉพาะในปีนี้ ตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีนคงไม่ได้ฟื้นกลับมาโดยเร็ว เนื่องจากเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบหนัก ไตรมาสแรกของปี 2020 ติดลบ 6.8% ส่งผลให้รายได้และดีมานด์ในการท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีนลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยส่วนใหญ่ไม่ใช่กลุ่มรายได้สูงและเป็นกลุ่มที่เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต

โอกาสนี้ จึงขอเสนอให้ประเทศไทยใช้จังหวะนี้แปลงจีนให้เป็นโอกาส ด้วยเน้นการท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยหันมาเจาะตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนในระดับพรีเมียมที่มีรายได้สูง รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุจีนซึ่งมีความต้องการท่องเที่ยวพักผ่อนเชิงสุขภาพ หรือ Wellness Tourism

อ.อักษรศรี ยังวิเคราะห์ต่อว่า หลัง COVID-19 จีนจะหันมาพึ่งพาตัวเองมากขึ้นลดการพึ่งพาต่างประเทศ โดยในถ้อยแถลงต่อที่ประชุมสภา NPC นายกรัฐมนตรี “หลี่ เค่อเฉียง” ของจีน ได้ประกาศชัดถึง “หลักประกันความมั่นคง 6 ด้าน” หนึ่งในนั้นคือ “ความมั่นคงทางอาหาร” หรือ Food Security โดยจีนจะมีการขยายพื้นที่ทางเกษตรเพิ่มขึ้น และให้การสนับสนุนการผลิตด้านเกษตรกรรมในประเทศอย่างจริงจัง เพื่อให้ความมั่นใจว่าคนจีนทั้งประเทศจะมีอาหารเพียงพอโดยไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติ ดังนั้น ภาคเกษตรไทยที่เคยพึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก จึงอาจต้องเริ่มปรับตัว และต้องเริ่ม Diversify กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งจีนเป็นตลาดหลัก

ขณะที่เมื่อวิเคราะห์โครงสร้างสินค้าไทยที่ส่งออกไปจีนที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าประเภทวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบที่จีนนำเข้าจากไทยเพื่อไปแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มแล้วส่งออกต่อ ในอนาคต หากผู้ประกอบการไทยยังคงยึดติดกับการค้าขายกับจีนในแบบเดิมๆ อาจจะไปต่อได้ยาก จึงขอเสนอแนะให้ประเทศไทยต้องปรับตัวในเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง โดยหันมาเน้นการส่งออกสินค้าสำเร็จรูปเพื่อการอุปโภคบริโภคป้อนสู่ตลาดผู้บริโภคชาวจีน เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ความงาม หรือ อัญมณีเครื่องประดับ รวมทั้งการส่งออกผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซให้มากขึ้น

“ ประเด็นสุดท้ายที่อยากขอย้ำและฝากไว้ คือ ทิศทางความสัมพันธ์ไทย-จีนยุคใหม่ที่จะก้าวต่อไป คือ การร่วมมือและเติบโตไปด้วยกันอย่างรู้เท่าทันและมีศักดิ์ศรี มองจีนให้เป็นโอกาส แต่อย่าโลกสวย

Rise With The Dragon ด้วย 2D คือ Digitalization และ Diversification รู้เขา รู้เราในการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับจีน มองจีนให้รอบด้าน อย่าเคลิ้มตามไปทุกเรื่อง รักษาสมดุลความสัมพันธ์ และยึดผลประโยชน์ร่วมกันเป็นสำคัญ” อ.อักษรศรีฝากทิ้งท้าย


 

Your email address will not be published. Required fields are marked *