โรงพยาบาลและคลินิกเอกชน 124 แห่ง เริ่มทยอยเปิดรับชาวต่างชาติกลุ่มแรกที่เดินทางเข้ามาใช้บริการด้านสุขภาพในประเทศไทยอีกครั้ง
หลังจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (ศบค.) เมื่อวันที่ 22 ก.ค. เห็นชอบเปิดให้ชาวต่างชาติกลุ่ม Medical and Wellness Program เดินทางเข้ามารักษาตัวในไทย(ที่ไม่ใช่โรค COVID – 19) พร้อมผู้ติดตามไม่เกิน 3 คน ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กำหนด โดยต้องเข้าสู่กระบวนการเฝ้าระวังกักตัว 14 วันในสถานพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine – AHQ) และสามารถเดินทางท่องเที่ยวต่อได้ตามแผนการเดินทางที่กำหนดไว้
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารและขับเคลื่อนนโยบาย Medical Hub ให้สัมภาษณ์กับ TAP Magazine ว่า ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประเทศภายหลังสถานการณ์ COVID-19 โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลระหว่างสาธารณสุขควบคู่กับเศรษฐกิจ ด้วยการจัดทำ Alternative Hospital Quarantine (AHQ)สำหรับผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติรวมผู้ติดตาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างระบบการกักตัวร่วมกับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลให้กับชาวไทยและชาวต่างชาติกลุ่ม Medical and Wellness Program ที่เดินทางเข้ามารับการรักษาในไทย เพื่อสร้างรายได้จากการให้บริการรักษาพยาบาลกลับเข้าสู่ประเทศอีกครั้ง ภายใต้มาตรการรักษาความปลอดภัยทางสาธารณสุขที่รัดกุม ทั้งสถานที่กักตัว 14 วัน และการรักษาพยาบาล
ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ระบุว่า มูลค่าที่จะเกิดขึ้นจากผู้ป่วยและผู้ติดตามโดยการประมาณการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ใช้บริการด้านการแพทย์ เมื่อมีการเปิดระบบ Alternative Hospital Quarantine (AHQ) คาดว่าจะมีผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางกลับเข้ามารับการรักษาพยาบาล 5% ภายใน 3 เดือนหรือคิดเป็น 160,000 ครั้ง (ทั้งผู้ป่วยเก่าและใหม่)
สามารถสร้างรายได้กลับเข้าสู่ประเทศคิดเป็นมูลค่า 18,000 ล้านบาท หรือราว 30-40% เมื่อเทียบจากตัวเลขเดิมในปี 2561 ที่มีการประมาณการรายได้รวมจากการให้บริการรักษาพยาบาลอยู่ที่ 45,000 ล้านบาท โดยในปี 2561 มีผู้ป่วยต่างชาติที่เดินทางเข้ามาจำนวนครั้ง (Visit)เฉลี่ย 3.2 ล้านครั้ง ซึ่งหากมีผู้ติดตามจำนวน 1 ราย จะมีค่าใช้จ่ายในการเข้าพักห้องเดี่ยวและการอำนวยความสะดวกระหว่างรักษาตนเองคิดเป็น 3,000-8,000 บาทต่อวัน
จีน เมียนมา และกัมพูชา เป็นชาวต่างชาติกลุ่มแรกที่จัดอยู่ในกลุ่มประเทศสีเขียวมีความเสี่ยงต่ำที่ได้รับไฟเขียวให้ทยอยเดินทางเข้าประเทศเพื่อรับบริการทางการแพทย์ในไทย อาทิ โรคตา โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ภาวะมีบุตรยาก ศัลยกรรมเสริมความงาม เป็นต้น ซึ่งเป็นบริการที่ไทยมีศักยภาพและต้องการดึงดูดต่างชาติ (Magnet) ตามโครงการ Medical & Wellness Program
ผู้ป่วยที่จะเดินทางเข้ามาต้องมีการนัดหมายไว้ล่วงหน้ากับสถานพยาบาลในโครงการ Alternative Hospital Quarantine (AHQ) ซึ่งขณะนี้ผ่านการรับรองแล้วจำนวน 124 แห่ง แบ่งเป็นโรงพยาบาล 98 แห่ง และคลินิก 26 แห่ง โดยมีชาวต่างชาติกลุ่มแรกจำนวน 920 คนที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามารับบริการ ซึ่งเมื่อรวมกับญาติผู้ป่วยแล้วจะมีจำนวนราว 2,000 คน จาก 3 ประเทศ ได้แก่ จีน เมียนมา กัมพูชา
ผู้ป่วย 1 ราย สามารถมีผู้ติดตาม/ญาติได้ไม่เกิน 3 ราย และต้องมีหนังสือรับรองผลการตรวจ COVID-19 ก่อนเข้าประเทศไม่เกิน 72 ชั่วโมง รวมถึงหลักฐานทางการเงินในการรักษาพยาบาล


ทั้งนี้ กลุ่มชาวต่างชาติที่เป็นเป้าหมายหลักตามโครงการ Medical & Wellness Program ประกอบด้วยกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ GCC /กลุ่มCLMV(กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) รวมถึงจีน บังกลาเทศ มัลดีฟส์ ภูฏาน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และเอเชียใต้


นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
นับเป็นเวลาต่อเนื่องกว่า 2 เดือนที่ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ COVID-19 โดยไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศ
จากที่เคยเป็นประเทศผู้ติดเชื้อสูงเป็นอันดับ 2 ขยับมารั้งท้ายอยู่ที่อันดับ 111 ของโลก ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงต่อเนื่องกว่า 18 ล้านคน (ข้อมูล ณ วันที่ 5 ส.ค.63)
ศักยภาพความพร้อมในด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทยในการรับมือกับโรคระบาด ได้เป็นที่ประจักษ์สู่ทั่วโลก จนสามารถก้าวขึ้นมาติดอันดับหนึ่งในโลกในด้านการฟื้นตัวจาก COVID-19 จากข้อมูลการจัดอันดับ 184 ประเทศของ“Global COVID-19 Index (GCI)”
นอกจากนี้ เมื่อปลายปี 2562 ประเทศไทยยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความมั่นคงด้านสุขภาพ (Health security)อันดับที่ 6 ของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ในเอเชีย
“ จากเดิมที่ประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางของการบริการด้านสุขภาพหลักของเอเชียอยู่แล้ว หลังจากเกิดสถานการณ์ COVID-19 ที่เราสามารถรับมือได้ดี ควบคุมโรคได้ มีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ถือเป็นการส่งสัญญาณไปทั่วโลกว่า ประเทศไทยมีศักยภาพเป็นผู้นำในด้านนี้”
อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวถึงโอกาสของประเทศไทยหลังวิกฤต COVID-19 โดยมองว่า การจัดทำระบบ Alternative Hospital Quarantine (AHQ) จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางเข้ามารับบริการสุขภาพในประเทศมากขึ้น ช่วยสร้างรายได้กลับเข้าสู่ประเทศไทย ฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะเร่งด่วนอีกครั้ง และมีส่วนสำคัญในการเดินหน้านโยบาย Medical Hub หลัง COVID-19
ล่าสุด คณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ได้เห็นชอบหลักการผลักดัน“ประเทศไทยเป็นเมืองหลวงของโลกด้านการดูแลสุขภาพ” โดยใช้โอกาสนี้ในการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางการตลาดออนไลน์ รวมถึงสายการบิน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้ตราสัญลักษณ์ Medical Hub ผ่านข้อความสำคัญในการสื่อสารว่า “Beyond Healthcare, Trust Thailand” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการกลับเข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาล และพำนักระยะยาวในประเทศไทยอีกครั้ง โดยมุ่งส่งเสริมบริการรักษาพยาบาลและบริการส่งเสริมสุขภาพ (Medical and Wellness)ใน 10 สาขาบริการที่มีศักยภาพสูงและดึงดูดชาวต่างชาติ (Magnet) ได้แก่
1. Regenerative เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึง Anti-Aging และ Medical Spa
2. Alternative medicine การแพทย์ทางเลือก
3. Cardio science การรักษาโรคหัวใจ
4. Musculoskeletal กระดูกและกล้ามเนื้อ
5. Dental Clinic บริการทันตกรรม
6. IVF บริการรักษาผู้มีบุตรยาก
7. การรักษาโรคมะเร็ง
8. การศัลยกรรม/ศัลยกรรมเสริมสวย/ผ่าตัดแปลงเพศ
9. Eye treatment : cataract โรคตาต้อกระจก
10. Precision Medicine การแพทย์แม่นยำ
นพ.ธเรศ กล่าวว่า ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ฉบับที่ 3 ระยะ 10 ปี (พ.ศ.2560-2569) ได้กำหนดแนวทางผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพของโลก (Thailand Hub of Wellness and Medical services) ภายในปี 2569 โดยมีองค์ประกอบในการขับเคลื่อน 4 ด้าน ได้แก่
1.ศูนย์กลางบริการสุขภาพ (Medical Service Hub)
2.ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub)
3.ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย (Academic Hub)
4.ศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub)
การขยายเวลาพำนักในราชอาณาจักรไทยสำหรับกลุ่มพำนักระยะยาว (Long stay)เป็นเวลา 10 ปี, การทำประกันสุขภาพสำหรับคนต่างด้าวผู้ขอรับการตรวจลงตรา (วีซ่า) ประเภทคนอยู่ชั่วคราว Non-Immigrant Visa รหัส O-A (ระยะ 1 ปี) โดยเริ่มนำร่องในกลุ่มผู้สูงอายุชาวต่างชาติที่พำนักระยะยาว (Long stay)
การพัฒนาศูนย์ประสานงานกลาง Claim Center ในการจัดเก็บค่ารักษาพยาบาลชาวต่างชาติสำหรับสถานพยาบาลภาครัฐในจังหวัดท่องเที่ยว, การพัฒนา Wellness City แบบครบวงจร เป็นต้น


ในมุมมองของ นพ.ธเรศ ประเทศไทยมีจุดแข็งและปัจจัยความพร้อมในหลายด้านในการเป็น Medical Hub ไม่ว่าจะเป็นการจัดบริการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพมาตรฐานสากล รวมทั้งความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์และเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย
ประเทศไทยยังมีจำนวนสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล JCI (Joint Commission International Accreditation) มากที่สุดในอาเซียน ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพเพื่อแข่งขันในตลาด
นอกจากนี้ ยังมีสถานพยาบาลภาครัฐทั่วประเทศที่ผ่านมาตรฐาน HA อีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเว็บไซต์ในต่างประเทศยังจัดอันดับให้โรงพยาบาลเอกชนของไทยติดอันดับ 1 ใน 5 สถานพยาบาลยอดเยี่ยมระดับโลก อีกทั้งค่ารักษาพยาบาลในไทยยังมีความคุ้มค่ากว่าในหลายประเทศ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จูงใจนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และมีส่วนช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ
‘รักษาผู้มีบุตรยาก’บริการยอดนิยมชาวจีน
ข้อมูลจาก“รายงานผลการวิจัยและสำรวจข้อมูลด้านการบริการสุขภาพและบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพของไทย ประกอบการจัดทำศูนย์ข้อมูลนโยบาย Medical Hub” ระบุว่า ในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีวัตถุประสงค์หลักมาใช้บริการด้านการแพทย์ในประเทศไทย จำนวน 632,000 คน รวมค่าใช้จ่ายบริการด้านการแพทย์จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 121,917.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ประมาณ 8.5%
ขณะที่ประมาณการใช้จ่ายในการซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใช้บริการทางการแพทย์มีมูลค่า 1,430.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ประมาณ 0.6%


สำหรับบริการด้านการแพทย์อันดับหนึ่งที่กลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติใช้บริการมากที่สุด คือ บริการตรวจสุขภาพ (สัดส่วน 50.21%) รองลงมาคือรักษากระดูกข้อต่อเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ (8.58%) รักษาโรคมะเร็ง (8.37%) ป้องกันดูแลเส้นเลือดหัวใจ (4.08%) ทันตกรรม (4.08%) เป็นต้น โดยกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวชาวจีนใช้บริการรักษาผู้มีบุตรยากในสัดส่วนมากที่สุด
นพ.ธเรศ กล่าวถึงโอกาสและศักยภาพของตลาดชาวจีนที่เดินทางเข้ามารับบริการด้านสุขภาพในไทยว่า ตลาดชาวจีนถือเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายที่เราให้ความสำคัญ จากความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-จีนที่ใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน จีนเป็นตลาดขนาดใหญ่และเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่เราได้ขยายเวลาเวลาพำนัก 90 วันสำหรับผู้ป่วยและผู้ติดตาม
ล่าสุด ชาวจีนยังเป็นชาวต่างชาติกลุ่มแรกในกลุ่ม Medical and Wellness Program ที่ไทยเปิดให้ประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำเดินทางเข้ามารักษาพยาบาลในประเทศ
นอกจากนี้ ใน 10 กลุ่มบริการทางการแพทย์ (Magnet)ที่ไทยให้ความสำคัญ ยังมีหลายบริการที่รองรับตลาดชาวจีน อาทิ บริการรักษาผู้มีบุตรยาก การผ่าตัดและศัลยกรรมความงาม ซึ่งที่ผ่านมา มีเครือโรงพยาบาลเอกชนของไทยหลายแห่งที่เริ่มรุกเข้าไปจับตลาดลูกค้าชาวจีน อาทิ กลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพฯ (BDMS)ซึ่งล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือกับ‘ผิงอัน เฮลธ์’ยักษ์ใหญ่บริษัทประกันในจีน เดินหน้าขยายบริการสุขภาพเจาะกลุ่มชาวจีนโดยเฉพาะ