เปิดมุมคิดนักธุรกิจจีนรุ่นใหม่ “อู๋ หัวฉุน” กับการปลุกปั้นธุรกิจสกินแคร์ Made in Thailand ยุคดิจิทัล
ผลิตภัณฑ์สกินแคร์เป็น 1 ใน 5 อันดับสินค้าไทยยอดนิยมในตลาดออนไลน์จีน อีกทั้งยังเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งในหมวดหมู่สินค้าจากอาเซียน แต่เอสเอ็มอีไทยหลายรายที่มีสินค้าดีๆคุณภาพสูงกลับไปไม่ถึงดวงดาว เพราะจุดอ่อนด้านต้นทุนการผลิต ขาดความพร้อมด้านกำลังการผลิตและความเชี่ยวชาญในการทำตลาดออนไลน์


ปัญหาเหล่านี้เป็นอุปสรรคที่ อู๋ หัวฉุน กรรมการผู้จัดการ บริษัทสวัสดี กรุ๊ป (ไทยแลนด์)จำกัด พบเจอจากประสบการณ์ในการช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทยส่งออกสินค้าไปจีนผ่านช่องทางออนไลน์ ในฐานะตัวแทนอย่างเป็นทางการของ Alibaba.com ประจำประเทศไทย จุดประกายให้นักธุรกิจจีนรุ่นใหม่ที่เป็น“เขยคนไทย” ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทย 17 ปี เกิดแรงบันดาลใจที่จะทดลองพัฒนาธุรกิจสกินแคร์โมเดลใหม่ เพื่อเป็นต้นแบบในการลดต้นทุนการผลิต และหาช่องทางในผลักดันสินค้าไทยให้แข่งขันได้กับนานาประเทศ
ผสาน“นวัตกรรม”ผสม“อัตลักษณ์ไทย”
แผ่นเซลล์มาส์กหน้าคุณภาพสูงแบรนด์ TSI เป็นสินค้าแรกที่‘สวัสดี กรุ๊ป’ตั้งใจพัฒนาขึ้นภายใต้แบรนด์ของตัวเอง โดยบริษัทได้สร้างโรงงานผลิตเครื่องสำอางคุณภาพชั้นเยี่ยม ผ่านการรับรองมาตรฐาน GMP ISO022716 มีห้องผลิตเครื่องสำอางปลอดเชื้อ หรือ คลีนรูมขนาด Class 100,000 และมีไลน์การผลิตอันทันสมัยที่ได้มาตรฐานระดับโลก โดยใช้กระบวนการผลิตที่เป็นแบบ Automation ทั้งหมด นอกจากนี้ บริษัทยังมีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับการผลิตสินค้าจำพวกสเปรย์ น้ำมันหอมระเหย น้ำยาฆ่าเชื้อ และครีมอีกด้วย
การได้มาเยี่ยมชมกระบวนการผลิตของโรงงานที่นี่ ทำให้เราเห็นภาพอนาคตของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติตลอดสายการผลิตที่“ลดการสัมผัสมือ” และลดการใช้แรงงานคนลดลงจากเดิม 70-80%
“ด้วยกระบวนการผลิตที่ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติทั้งหมด ทำให้ในสถานการณ์ปกติเราสามารถผลิตแผ่นมาส์กหน้าได้ 5 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยใช้แรงงานคนเพียงแค่ 5 คนต่อกะ” อู๋ หัวฉุน เล่าถึงการนำเทคโนโลยีใหม่มายกระดับขีดความสามารถทางธุรกิจทั้งการผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเอง และรับจ้างผลิตสินค้าสกินแคร์ให้กับแบรนด์อื่น ซึ่งหากเดินเครื่องผลิตตลอด 24 ชั่วโมง ถือได้ว่าโรงงานที่นี่เป็นหนึ่งในโรงงานที่มีกำลังผลิตมากที่สุดของไทย
นอกจากนี้ ‘สวัสดี กรุ๊ป’ยังคิดค้นพัฒนานวัตกรรมสินค้าที่มีสิทธิบัตรเป็นของตัวเอง โดยชูจุดเด่นวัตถุดิบที่มีอัตลักษณ์ของไทยมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม จนได้รับรางวัลดีเด่นจากหลายหน่วยงานของไทย โดยปัจจุบันมีสินค้าที่พัฒนาออกสู่ตลาดแล้ว 3 รายการ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มาส์กหน้าบำรุงผิวด้วยเซรั่มสารสกัดจากการบ่มข้าวหอมมะลิ, มาส์กหน้าจากส่วนผสมใยไหมสีทองที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนและโปรตีน และมาส์กหน้าปรับผิวขาวกระจ่างใสจากสารสกัดธรรมชาติจากรังนกเข้มข้น
“ ชาวจีนให้ความนิยมสินค้าสกินแคร์ของไทยในความเป็นสินค้าออริจินัลที่มีส่วนผสมของวัตถุดิบอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งจีนและที่อื่นไม่มี นอกเหนือจากข้าวหอมมะลิ รังนก และใยไหมสีทอง ยังมีวัตถุดิบของไทยอีกหลายตัวโดยเฉพาะสมุนไพรไทยที่เรามองเห็นโอกาสต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นสู่ตลาดโลก” อู๋ หัวฉุน กล่าว
C2M (Consumer-to-Manufacturer) เทรนด์ใหม่ปฏิวัติธุรกิจความงาม
นอกจากการใช้เทคโนโลยีในการยกระดับการผลิตและพัฒนาสินค้าที่มีอัตลักษณ์โดดเด่น สกินแคร์น้องใหม่แบรนด์ TSI ยังรุกทำการตลาดออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆทั้งในไทย จีน และอาเซียน ควบคู่กับการทำตลาดออฟไลน์ผ่านโมเดิร์นเทรด และ TV Shopping รวมถึงทำตลาดส่งออกไปยังทวีปยุโรป
“ สมัยก่อนการทำตลาดในจีนแค่มณฑลเดียวว่าใหญ่แล้ว แต่ด้วยเครื่องมือการตลาดออนไลน์ในยุคนี้ทำให้เราสามารถกระจายสินค้าตูมเดียวไปทั่วประเทศจีน นอกจากนี้ เรายังตั้งใจให้โรงงานที่พัฒนาขึ้นใหม่สามารถรองรับกระบวนการผลิตในยุคดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต โดยใช้ช่องทาง Digital Marketing และ Big Data ในการสร้างโอกาสใหม่ๆทางธุรกิจ” ผู้บริหาร ‘สวัสดี กรุ๊ป’ เล่าถึงแนวคิดใหม่ของการทำธุรกิจแบบ C2M หรือ Consumer-to-Manufacturer เพื่อสอดรับกับยุค Digital Disruption ซึ่งโรงงานผู้ผลิต(Manufacturer) สามารถขายสินค้าโดยตรงถึงผู้บริโภคปลายทาง (End Consumer)โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป


อู๋ หัวฉุน เล่าว่า โมเดล C2M กำลังเป็นเทรนด์ E-Commerce แนวใหม่ที่กำลังพัฒนาในจีน โดยเฉพาะในช่วงหลังวิกฤต COVID-19 บรรดานักช้อปสามารถสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานโดยตรงในราคาที่ต่ำกว่าตลาดผ่านแพลตฟอร์มของอาลีบาบาและอีกหลายหลายแพลตฟอร์มออนไลน์ในจีน


นอกจากจะช่วยทำให้สินค้าถึงมือผู้บริโภคในราคาที่ถูกลง โมเดลธุรกิจ C2M ยังเข้ามาปฏิวัติวิธีการทำธุรกิจที่เคยเป็นมาของอุตสาหกรรมสกินแคร์ จากการผลิตยุคดั้งเดิมในแบบ Mass Products ไปสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลผิวแบบ Personalized Products ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน หรือจะเรียกว่าสูตรเดียวในโลกที่ออกแบบมาเพื่อผิวของคุณโดยเฉพาะก็ว่าได้
อู๋ หัวฉุน ฉายภาพให้เห็นว่า ธุรกิจความสวยความงามยุคใหม่กำลังก้าวไปสู่ยุค Data-Driven หรือการใช้ข้อมูลเป็นศูนย์กลางแบบครบวงจรตั้งแต่การวางแผนกระบวนการผลิตไปจนถึงการทำตลาด ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI, Big Data และ Internet of Things (IoT) ซึ่งช่วยให้โรงงานผู้ผลิตสามารถเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูลในแบบเรียลไทม์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสใหม่ๆทางธุรกิจ
“ในภาษาจีนมีคำเรียกธุรกิจม้ามืดที่แจ้งเกิดโด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า 爆款 (เป้าขว่าน) การที่ธุรกิจจะไปถึงจุดนั้นได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักใช้ข้อมูล Big Data มาตีโจทย์ให้แตกว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเซอร์ไพรส์เกินกว่าที่คาดหวัง เหมือนลูกค้าจ่ายเงินซื้อน้ำขวดในราคา 7 บาท แต่ดื่มแล้วได้ความรู้สึกเหมือนเหล้าเหมาไถ” อู๋ หัวฉุน กล่าวถึงความท้าทายในการตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปฏิวัติทุกวงการ แม้แต่โลกของความสวยความงาม



