ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก หนึ่งในเครื่องมือที่อาจเป็น“ทางลัด”ให้ประเทศหนึ่งๆฟื้นตัวกลับมาได้เร็วกว่าประเทศอื่นก็คือ “เศรษฐกิจดิจิทัล” ที่สามารถเข้ามาเพิ่มศักยภาพหรือแม้แต่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของภาคเศรษฐกิจให้กับประเทศนั้นไปอย่างสิ้นเชิง
อาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวในงานสัมมนา POWERING DIGITAL THAILAND 2021: HUAWEI CLOUD & CONNECT ว่า “ในอนาคต เศรษฐกิจดิจิทัลจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักตัวใหม่ในตลาดทั่วโลก โดยผลการศึกษาพบว่า เมื่อใดที่ภาคเศรษฐกิจในประเทศหนึ่งปรับสัดส่วนด้านเศรษฐกิจดิจิทัลเพิ่มขึ้น 20% จะมีผลทำให้ GDP ของประเทศนั้นๆเพิ่มขึ้นได้ถึง 1%
นอกจากนี้ การลงทุนด้าน ICT ยังให้ผลตอบแทนกลับมามากกว่าการลงทุนทั่วไปถึง 6.7 เท่า โดยปัจจุบันมีมากกว่า 164 ประเทศที่วางกลยุทธ์ด้านดิจิทัลระยะยาวไว้แล้วเพื่อใช้เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ ซึ่งหัวเว่ยได้มองเห็นความก้าวหน้าของการเติบโตด้านเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยที่จะยกระดับขึ้นเป็นผู้นำด้านดิจิทัลในภูมิภาคนี้”
หัวเว่ยมองว่าการผสานรวมของเทคโนโลยีด้านการเชื่อมต่อและการประมวลผลคอมพิวเตอร์จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในทุกภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่อุตสาหกรรมคมนาคม การเงิน พลังงาน การศึกษา ซึ่งจะทำให้เกิดคุณค่าใหม่ ๆ ในสังคม ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงปรับเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลครั้งใหม่ โดยหัวเว่ยเชื่อว่าภายในระยะเวลา 10 ปีต่อจากนี้ เทคโนโลยี เช่น 5G, คลาวด์, การประมวลผลคอมพิวเตอร์แบบ Edge (Edge Computing) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะได้รับการนำไปประยุกต์ใช้กับการดำเนินงานในภาคอุตสาหกรรมของไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจดิจิทัลจะมีสัดส่วนมากถึง 30% ของ GDP ประเทศไทย และไทยจะสามารถขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของอาเซียนได้
“เรามั่นใจว่าประเทศไทยมีศักยภาพอย่างเต็มที่ในการเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลในอาเซียน เนื่องจากไทยประสบความสำเร็จในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคลาวด์, AI และ 5G รวมทั้งการพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้าน ICT ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจดิจิทัล” ผู้บริหารหัวเว่ยกล่าว
หัวเว่ยกับการผลักดันไทยสู่ดิจิทัลฮับ
ทั้งนี้ หัวเว่ย ในฐานะองค์กรด้านเทคโนโลยีที่อยู่กับประเทศไทยมานานกว่า 21 ปี มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้ไทยมีการเติบโตด้านเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านการสร้างศูนย์กลางความเป็นเลิศใน 4 ด้าน ได้แก่
- ด้านศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านการเชื่อมต่อ (Connectivity excellence hub) : หัวเว่ยจะลงทุนเพิ่มเติมกับโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง เพื่อสร้างโครงข่ายในระดับภูมิภาค โดยได้ลงทุนด้านทรัพยากรบุคคลกับวิศวกรมากกว่า 800 คน เพื่อรองรับการสร้างโครงข่ายชั้นนำให้แก่ไทยสำหรับการใช้งานในภูมิภาคอาเซียน
- ด้านศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านคลาวด์ (Cloud excellence hub) : หัวเว่ยได้ลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2561 เพื่อส่งมอบความเร็ว ความปลอดภัยของข้อมูล และบริการหลังการขายที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้บริการคลาวด์ในไทย และในปี 2564 ยังมีแผนลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลแห่งที่ 3 ในไทย มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท
- ด้านศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านดิจิทัลอีโคซิสเต็ม (Digital ecosystem excellence hub) : หัวเว่ยได้ลงทุนสร้างศูนย์นวัตกรรมเพื่อรองรับการสร้างอีโคซิสเต็มด้านดิจิทัล ได้แก่ การสร้างศูนย์นวัตกรรม OpenLab ในปี 2016 และการสร้างศูนย์นวัตกรรม 5G ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 450 ล้านบาท
- ด้านศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านทักษะดิจิทัล (Digital talent hub) : หัวเว่ยได้ผลักดันการพัฒนาทักษะและทรัพยากรบุคคลด้านดิจิทัลในประเทศไทยผ่านโครงการ Huawei Academy
ผู้บริหารหัวเว่ยยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงเทรนด์สำคัญด้านเทคโนโลยีที่ภาครัฐและภาคเอกชนในไทยควรจับตามองอย่างใกล้ชิดในปี 2564 ได้แก่ เทคโนโลยีการประมวลผลแบบ CLOUD เทคโนโลยี AI รวมถึงเทคโนโลยีนวัตกรรมโครงข่าย 5G ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างมีส่วนช่วยผลักดันให้เกิดนวัตกรรมรูปแบบใหม่ในภาคอุตสาหกรรมนับพันแห่ง รวมทั้งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนากระบวนการดำเนินงานในภาครัฐ ภาคองค์กรธุรกิจ และภาคสังคมให้ชาญฉลาดสามารถเข้าใจความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น