ประสบการณ์การพัฒนาของจีน กับบทเรียนความสำเร็จบนเส้นทาง 100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์ ผ่าน 3 มุมมองผู้เชี่ยวชาญชาวไทย

บนเส้นทาง 100 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้สร้างบทเรียนความสำเร็จและประสบการณ์การพัฒนาประเทศที่น่าสนใจศึกษามากมาย จีนเติบโตยิ่งใหญ่มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? มีบทเรียนอะไรบ้างที่ไทยสามารถเรียนรู้และนำมาปรับใช้ ติดตามได้จาก 3 มุมมองผู้เชี่ยวชาญและทรงคุณวุฒิชาวไทย สมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, พล.อ.สุรสิทธิ์ ถนัดทาง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน และ ดร.อุษณีษ์ เลิศรัตนานนท์ หัวหน้าโครงการจีนศึกษา วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


การพัฒนาของจีนก่อให้เกิดคุณูปการต่อประชาคมโลก

สมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

สมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า นับตั้งแต่เปิดประเทศในปี 1979 เป็นต้นมา จีนก็ได้แสดงศักยภาพให้โลกได้เห็นถึงพัฒนาการที่โดดเด่นในทุกด้าน นโยบายของจีนร้อยเรียงและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ กอปรกับความมีเสถียรภาพของรัฐบาล และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาชนจีน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนประสบความสำเร็จ ซึ่งการพัฒนาในทุกด้านของจีนควรค่าต่อการเรียนรู้และนำมาเป็นกรณีศึกษาทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย

“ ในแง่ของเศรษฐกิจ ผมชื่นชมการแก้ปัญหาความยากจนของจีนที่ใช้เวลาเพียงแค่ 40 ปี สามารถช่วยให้ผู้คนหลุดพ้นจากความยากจนได้เกือบ 800 ล้านคน บรรลุเป้าหมายการขจัดความยากจน ตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 ของสหประชาชาติเร็วกว่ากำหนดถึง 10 ปี หนึ่งในนั้นคือการนำเทคโนโลยีที่จีนได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาใช้พัฒนาเกษตรกรให้กลายเป็นผู้ประกอบการ ส่งเสริมการค้าผ่านระบบอี-คอมเมิร์ซ จีนสร้างความเข้มแข็งภายในและสร้างความยิ่งใหญ่ภายนอกไปพร้อมกัน ผมเชื่อว่าความสำเร็จนี้ไม่ใช่แค่ความสำเร็จของจีน แต่ยังเป็นความสำเร็จที่ทั่วโลกต้องชื่นชมด้วย

จากตัวอย่างความสำเร็จนี้ผมคิดว่าสามารถนำมาปรับใช้กับไทยได้ ไทยเองยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการก้าวผ่านกับดักรายได้ปานกลาง ในขณะที่พื้นฐานก็เป็นประเทศเกษตรกรรม และผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็อยู่ในกลุ่ม SMEs การแก้ปัญหาความยากจนแบบมุ่งเป้าของจีน และการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ เป็นตัวอย่างที่ดีต่อการสร้างความเข้มแข็งภายใน สร้างความอยู่ดีกินดีให้ประชาชนไทย

ล่าสุดในปีนี้จีนได้ออกนโยบายการพัฒนาใหม่แบบ Dual Circulation ที่เน้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นปัจจัยหลัก ในขณะที่เศรษฐกิจและตลาดต่างประเทศเป็นปัจจัยส่งเสริมซึ่งกันละกัน เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจในประเทศและระหว่างประเทศ นโยบายดังกล่าวของจีนนับเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่น่าจับตามอง เพราะหากรูปแบบนี้สำเร็จ จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกเมื่อโลกเกิดวิกฤตต่างๆ ขณะเดียวกันก็สามารถมีส่วนร่วมในวงจรเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ผมมองว่าตรงส่วนนี้ก็สามารถนำมาปรับใช้กับนโยบายของไทยได้ ”

ในมุมมองของอธิบดีฯสมเด็จ การขับเคลื่อนการพัฒนาหลายด้านของจีนยังก่อให้เกิดคุณูปการต่อประชาคมโลก ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางซึ่งถือเป็นเมกะโปรเจกต์ใหญ่ที่สุดในโลกที่จะเชื่อมโยงจีนไปทั่วโลก มีประเทศที่เกี่ยวข้องกว่า 60 ประเทศ ในเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา ส่งผลต่อ 65% ของประชากรโลก มีผลกระทบต่อ 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก และ 1 ใน 4 ของการค้าโลก ซึ่งเป็นโครงการที่จีนได้แสดงเจตจำนงกับประเทศต่างๆ ว่าจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของประโยชน์ร่วมกัน (win-win)

หากโครงการนี้สำเร็จบรรลุตามวัตถุประสงค์ จะถือว่าจีนได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่แก่ประชาคมโลก ซึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนของโครงการนี้คือ การจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชียน (AIIB) และกองทุนเส้นทางสายไหม (Silk Road Fund) ที่ให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ประเทศสมาชิก รวมทั้งการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการค้า ด้วยการสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับการฝึกอบรมและทุนการศึกษาในจีนให้กับประเทศสมาชิกอีกมากมาย

ล่าสุด เมื่อโลกต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 จีนก็ได้ช่วยเหลือและสนับสนุนทั้งด้านบุคลากร อุปกรณ์การแพทย์ และวัคซีน ให้กับประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยซึ่งจีนถือเป็นชาติแรกๆ ที่หยิบยื่นไมตรีให้เมื่อไทยเข้าสู่ช่วงวิกฤตโควิด พร้อมทั้งยังได้บริจาควัคซีนให้แก่ไทยแล้วกว่า 1 ล้านโดส ผมในฐานะภาครัฐและประชาชนชาวไทยก็ต้องขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย” อธิบดีฯสมเด็จกล่าว พร้อมทั้งกล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่รู้สึกชื่นชมนโยบายจีนที่มีต่อประชาคมโลก คือการที่จีนแสดงจุดยืนว่า ในความร่วมมือต่างๆ ต้องอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และไม่เลือกปฏิบัติ

“ ผมมองว่านี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะคลายข้อกังวลให้กับประเทศเล็กๆ หรือประเทศกำลังพัฒนาที่อาจไม่ได้มีศักยภาพเทียบเท่าจีน ”

สำหรับโครงการที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง”นั้น มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกับการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยในหลายสาขา อาทิ การพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานควบคู่กับการพัฒนาความเชื่อมโยงด้านข้อมูลและดิจิทัล รวมถึงนโยบายส่งเสริมการยกระดับภาคการผลิต ที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 การส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมS-Curves ของไทย และการเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงชุมชนท้องถิ่น

“ ผมมองว่า โครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ตามแผนการลงทุน Belt and Road Initiative:BRI ของจีนสามารถเชื่อมโยงกับโครงการที่ใหญ่ที่สุดของไทย ณ ขณะนี้ได้ นั่นก็คือ โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะมีการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เขตเศรษฐกิจพิเศษสำหรับการพัฒนาด้านนวัตกรรม ตลอดจน Smart City โดยไทยพร้อมเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ในภูมิภาค เชื่อมโยงกับ BRI โดยเฉพาะระเบียงเศรษฐกิจจีน-อินโดจีน (China-Indochina Economic Corridor) ไทยจึงยินดีต้อนรับนักลงทุนจีนทุกคน ให้เข้ามาลงทุนใน EEC เพื่อแสวงหาโอกาสและผลประโยชน์ทางการค้าร่วมกัน”

ในแง่ของการค้า ไทย-จีน ควรมีการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยเน้นการสนับสนุนการอำนวยความสะดวกทางการค้า การพัฒนารูปแบบทางธุรกิจใหม่ๆ อาทิ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เสริมสร้างการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านการค้าบริการ และขยายความร่วมมือทางการค้าในสาขาสำคัญ อาทิ สินค้าไฮเทคและสินค้าเกษตร เป็นต้น ซึ่งล่าสุดกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการลงนาม MOU ด้านการค้ากับมณฑลไห่หนาน และมณฑลกานซู่

สานสัมพันธ์สองประเทศเติบโตไปด้วยกัน

“ไทย-จีนใช่อื่นไกลพี่น้องกัน” อธิบดีฯ สมเด็จ กล่าวว่า คำนี้เป็นคำที่เราคงคุ้นชินเป็นอย่างดีเมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน ตลอดระยะเวลา 46 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ไทยและจีนได้มีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา โดยเฉพาะในด้านการค้าและการท่องเที่ยว ที่จีนกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย มูลค่าการค้าไทย-จีนในปีที่ผ่านมาสูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาเยือนประเทศไทยมากที่สุดในโลก

ในขณะเดียวกันภาษาและวัฒนธรรมจีนก็ทวีบทบาทมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีคนสนใจเรียนภาษาจีนกว่า 7 ล้านคน จากข้อมูลปี 2019 จำนวนนักศึกษาไทยที่ไปศึกษาในจีนสูงเป็นอันดับ 3 รองจากเกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกันก็มีนักศึกษาจีนมาศึกษาต่อที่ประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกปี สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทย-จีน ซึ่งมองว่าการศึกษาและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือที่จะสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อกันอย่างดีที่สุด

ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ก็ได้ให้ความสำคัญกับจีนมาก ตั้งแต่มารับตำแหน่งก่อนสถานการณ์โควิด-19 ท่านได้เดินทางไปเยือนจีนด้วยตนเองแล้วกว่า 3 ครั้ง และตั้งแต่ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ ท่านก็ได้ให้ความร่วมมือร่วมงานตามคำเชิญของรัฐบาลจีนทั้งระดับประเทศและระดับมณฑลผ่านระบบออนไลน์อีกมากมาย

สุดท้ายนี้ ในโอกาสครบรอบ 100 ปีของการสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ผมขอแสดงความชื่นชมต่อความสำเร็จของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งถือเป็นกลไกที่สำคัญที่สุดที่ขับเคลื่อนให้จีนสามารถพัฒนาประเทศจนประสบความสำเร็จในหลายด้าน และสร้างคุณูปการอันมหาศาลให้ประชาคมโลกจากโครงการหลากหลายที่สร้างขึ้นในเชิงประจักษ์

ผมขอขอบคุณความร่วมมือที่จีนมีให้ไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะในเรื่องการค้าระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย-จีนที่ได้พัฒนาเรื่อยมา จนปัจจุบันจีนได้เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย และน่าจะทวีบทบาทที่สำคัญยิ่งๆ ขึ้นไปในอนาคต ซึ่งต้องขอขอบคุณรัฐบาลจีน และพรรคฯ ที่ได้สนับสนุนให้ไทยเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์การค้าที่สำคัญของจีน และในโอกาสนี้ผมขออวยพรให้รัฐบาลจีน และพรรคฯ ประสบความสำเร็จในทุกโครงการอันจะนำมาซึ่งคุณูปการต่อประชาคมโลกต่อไปในอนาคต ” สมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าว


การพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่าง “สันติ” ความสำเร็จที่โดดเด่นบนเส้นทาง 100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน

พล.อ.สุรสิทธิ์ ถนัดทาง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน

ในมุมมองของ พล.อ.สุรสิทธิ์ ถนัดทาง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน ความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดของจีนบนเส้นทาง 100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน คือ การพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่าง “สันติ” โดยไม่มีการแตกแยกหรือต่อสู้อย่างรุนแรง

การวางรากฐานการพัฒนาที่ให้ประชาชนระดับฐานรากมีบทบาทขึ้นมา เมื่อจีนมีการพัฒนาเปิดเสรีทางเศรษฐกิจทำให้การผลิตเกิดความก้าวหน้า และทำให้เกิดการพัฒนาวัฒนธรรมไปพร้อมๆกัน โดยปัจจัยเบื้องหลังที่ทำให้จีนประสบความสำเร็จในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ ประกอบด้วย 3 ปัจจัยสำคัญ

ประการแรก คือ เป้าหมายหรือทิศทางแนวความคิดการเมืองของพรรคฯ เริ่มตั้งแต่สมัยเหมา เจ๋อตงยึดแนวความคิดคอมมิวนิสต์ทฤษฎีของคาร์ล มากซ์ สมัยเติ้งเสี่ยวผิงมีทฤษฎีความคิดสามตัวแทน จนมาถึงสมัยสี จิ้นผิงว่าด้วยสังคมนิยมที่มีอัตลักษณ์จีนในยุคใหม่

ปัจจัยที่ 2 คือ วิธีการ ซึ่งได้ดำเนินการคู่ขนานไปกับพัฒนาทฤษฎี และคู่ขนานไปกับการปฏิบัติ หรือปฏิบัติไปด้วยศึกษาไปด้วย ทำให้เกิดการพัฒนา และปัจจัยที่ 3 คือ เครื่องมือ พื้นฐานสำคัญคือเรื่องของคน มีการไปกระตุ้นเรื่องคน ทำให้เกิดวิสัยทัศน์ของการพัฒนา ตั้งแต่ฐานรากระดับประชาชน สมาชิกพรรค และระดับผู้นำ

ขณะที่การก้าวข้ามการแบ่งแย่งเชื้อชาติ การปกครองโดยฟังเสียงประชาชน การยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนโดยยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม ถือเป็น 3 คุณูปการที่โดดเด่นอย่างยิ่งของจีนที่มีต่อประชาคมชาวโลก อีกทั้งจีนยังมีการบริหารปกครองประเทศที่สอดคล้องกับหลักธรรมพรหมวิหาร 4 ทางพุทธศาสนา คือ การปกครองโดย “เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”

“ สำหรับบทเรียนความสำเร็จการพัฒนาของจีนซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจและไทยควรที่จะศึกษาเรียนรู้ คือการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งความสำเร็จของจีนมีความน่าสนใจทั้งเรื่องวิธีการ เป้าหมายและเครื่องมือที่ทำให้จีนสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างตรงจุด”

ในแง่การการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนในก้าวต่อไปนั้น พล.อ.สุรสิทธิ์ มองว่า ความสัมพันธ์ในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ การทูต ระหว่างภาครัฐและประชาชนทั้งสองประเทศ คำว่า”การพัฒนา”นั้น คือการทำให้ดีขึ้น มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งไทยและจีนได้มีการลงนาม MOU ความร่วมมือระหว่างกันเป็นจำนวนมาก

ในด้านความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจนั้น จีนกับไทยมีทิศทางที่สอดคล้องกันในการมุ่งพัฒนาตลาดเสรีและเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายจึงควรร่วมมือกันเพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ๆ พร้อมร่วมแบ่งปันเอื้อเฟื้อผลประโยชน์ร่วมกันบนความเสมอภาคและเป็นธรรม รวมถึงการแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีด้านสุขภาพและการแพทย์ ซึ่งไทยสามารถเรียนรู้จากจีนซึ่งมีความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีเหล่านี้

“ สิ่งที่ผมอยากเห็น คือ การพัฒนาด้านการเมืองที่มีคุณธรรมหรือธรรมาภิบาล แม้ว่าไทยและจีนจะมีระบบการเมืองและการปกครองที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายและหลักการเดียวกันคือทำให้ประเทศชาติและประชาชนมีความผาสุก เรื่องเหล่านี้เราจะร่วมกันพัฒนาได้อย่างไร อีกหนึ่งเรื่องที่ผมอยากเห็น คือ การพัฒนาด้านการทูตสาธารณะซึ่งจีนทำได้ดีและเก่งมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยสามารถเรียนรู้และนำมาพัฒนาปรับใช้ให้ดียิ่งขึ้น”

ท้ายที่สุด พล.อ.สุรสิทธิ์ ได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีการสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า“ หนึ่งศตวรรษที่ผ่านมาภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้พิสูจน์ให้โลกประจักษ์ถึงความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในการนำพาประเทศจีนให้สามารถพัฒนาก้าวไกลไปอย่างรอบด้าน ท่ามกลางพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลก การปฏิรูปและการพัฒนาของจีนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างสันติ ได้ก่อให้เกิดคุณูปการต่อทั้งชาวจีนและประชาคมโลก

โอกาสนี้ ผมขอให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีความมั่นคงในธรรม ยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม นำพาประเทศจีนและประชาคมโลกก้าวสู่ความเจริญก้าวหน้าร่วมกัน และขอให้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-จีนมีการพัฒนาที่ยั่งยืน นำมาซึ่งความผาสุกแก่ประชาชนทั้งสองประเทศสืบไป” พล.อ.สุรสิทธิ์ กล่าว


ปรับตัวยืดหยุ่น ยึดประชาชนเป็นหลัก บทเรียนความสำเร็จจากจีนที่ไทยน่าเรียนรู้

ดร.อุษณีษ์ เลิศรัตนานนท์ ผู้อำนวยการโครงการจีนศึกษา วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์

100 ปีที่ผ่านมาของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประเทศจีนได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาที่โดดเด่นในหลายด้าน จากประเทศยากจน ผงาดสู่มหาอำนาจที่สำคัญของโลก อะไรที่ทำให้จีนพลิกโฉมหน้าได้ขนาดนี้ ดร.อุษณีษ์ เลิศรัตนานนท์ ผู้อำนวยการโครงการจีนศึกษา วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า ปัจจัยแรกคือระบบการเมืองที่เข้มแข็ง ความเป็นพรรคเดียวกุมอำนาจ ทำให้มีความเป็นเอกภาพ สามารถขับเคลื่อนนโยบายเพื่อบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ขาดตอน โดยไม่ต้องเสียพลังงานและเวลา หรือเสียทรัพยากรในการแข่งขันเลือกตั้งเพื่อก้าวสู่อำนาจ

ปัจจัยที่สำคัญต่อมา คือ การยึดหลักใช้ความสามารถเป็นตัวตั้ง พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีระบบส่งเสริมสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถมาทำงานขับเคลื่อนประเทศ คนที่จะก้าวมาเป็นระดับผู้นำได้ต้องผ่านการเรียนรู้งานและประสบการณ์จากระดับล่างก่อนขึ้นมาสูง อย่างเช่นประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เคยผ่านการทำงานในชนบทมาก่อน ทำให้มีประสบการณ์ตรง เข้าใจถึงสภาพปัญหาและความต้องการของประชาชน

นอกจากนี้ ตัวแทนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังแทรกซึมอยู่ในทุกภาคส่วนของสังคมจีนแม้แต่ในรั้วมหาวิทยาลัย มีการอบรมให้ความรู้และฝึกหัดสมาชิกพรรคที่เป็นคนรุ่นใหม่ ตลอดจนจัดการประชุมพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์จากคนรุ่นเก่า ส่งต่ออุดมการณ์จากรุ่นสู่รุ่น ทำให้มีความยึดโยงกันเป็นหนึ่งเดียว

อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคือพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีความยืดหยุ่นไม่ยึดติด มีการปรับตัวตลอดเวลาให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกและภายในประเทศที่เปลี่ยนไป แต่แกนสำคัญที่ยึดมั่นไม่เคยเปลี่ยนคือความเป็นสังคมนิยม (Socialism) ที่ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก ทำให้พรรคฯสามารถรักษาอำนาจในการปกครองประเทศไว้ได้มาอย่างยืนยาวโดยไม่ขาดความชอบธรรม และได้รับการยอมรับจากประชาชนมาจนถึงวันนี้

“ จะเห็นได้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะมีการปรับตัวตลอดเวลา สมัยก่อตั้งพรรคในปี ค.ศ.1921 เป็นการรวมตัวกลุ่มชนชั้นกรรมกร ในยุคเหมา เจ๋อตงก็ให้ความสำคัญกับชาวนาชนชั้นแรงงาน จนมาถึงมาสมัยยุคเติ้งเสี่ยวผิง ก็มีการปฏิรูปเปิดประเทศ จนถึงปัจจุบันในยุคสี จิ้นผิง ที่ชูความเป็นชาตินิยมที่ต้องการเห็นจีนกลับมายิ่งใหญ่ การปรับตัวของจีนไม่ยึดติด สิ่งที่สำคัญคือการยอมรับว่าจีนยังมี “ปัญหา”อะไร และพยายามที่จะวางแผนปรับตัวเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด”

ในมุมมองของ ดร.อุษณีษ์ บทเรียนความสำเร็จของจีนที่น่าสนใจเรียนรู้สำหรับประเทศไทย คือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความกินดีอยู่ดีขึ้น ไม่เพียงจีนจะแก้ไขปัญหาความยากจนสำเร็จเท่านั้น นโยบายต่างๆของจีนยังมีการร้อยเรียงและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบเพื่อนำไปสู่เป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีโดยมีการวางแผนระยะยาวอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งการพัฒนาระบบการศึกษา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆ การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันซึ่งนำมาสู่การต่อยอดถึงการพัฒนาเศรษฐกิจ จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้จีนก้าวมาสู่มหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับสองของโลก

“ เมื่อปลายปีค.ศ. 2020 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ประกาศความสำเร็จ จีนหลุดพ้นความยากจนแล้ว ซึ่งถือเป็นเป้าหมายใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตัวอย่างที่ไทยจะได้เรียนรู้จากจีน คือแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนของจีน ซึ่งพรรคได้ส่งสมาชิกจำนวน 3 ล้านคนลงพื้นที่เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา และออกแบบโมเดลการแก้ไขปัญหาให้ตรงกับแต่ละพื้นที่ ทำให้จีนประสบความสำเร็จสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างตรงจุด ซึ่งกรณีนี้ไทยสามารถที่จะเรียนรู้จากจีนได้ โดยต้องเปิดใจที่จะศึกษาอย่างจริงจังไร้ซึ่งอคติ” ดร.อุษณีษ์แสดงความคิดเห็น

นอกจากนี้ ยังมีความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นของจีนซึ่งเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ โดยจีนมีการจัดการลงดาบอย่างเด็ดขาด การดำรงอยู่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาจากการสร้างความชอบธรรมจากผลงานที่จับต้องได้ จึงเน้นการรับฟังและแก้ไขปัญหาตามความต้องการของประชาชน แม้ว่าระบอบคอมมิวนิสต์ในแบบจีนอาจจะไม่ใช่ระบอบการเมืองการปกครองที่ดีที่สุดในโลก แต่ก็นับว่าเป็นรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับ ‘บริบทจีน’ ที่มีประชากรจำนวนมาก มีอาณาเขตกว้างใหญ่และมีความหลากหลายสูง

นี่เป็นเพียงบทสรุปสั้นๆ จากประสบการณ์ความสำเร็จของจีนที่สามารถพลิกตัวเองจนกลายมาเป็นผู้นำระดับโลก ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาความยากจน การพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน ควบคู่กับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นบทเรียนที่ไทยสามารถเรียนรู้และนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย โดยการยึดถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง


 

Your email address will not be published. Required fields are marked *