มนต์เสน่ห์แห่งกลองกับวิถีชาว‘เยียนตุน’

ผู้เขียน : เฝิง ฮุ่ยหนิง นิตยสาร CAP

งานฉลองเทศกาลตรุษจีนที่ตำบลเยียนตุน เริ่มต้นขึ้นในเดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติจีน เสียงกลองที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ อาจฟังดูอึกทึกครึกโครม แต่สำหรับชาวบ้านตำบลเยียนตุนแล้ว นี่คือภาพของการฉลองตรุษจีนที่บ้านเกิด!

ปัจจุบันกลองที่สูงที่สุดในตำบลเยียนตุน มีความสูงเกือบ 3 เมตร เวลาตีต้องขึ้นเหยียบบนม้านั่งสูง 2 ชั้นถึงจะเอื้อมถึง ส่วนกลองที่ใหญ่ที่สุด มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.8 เมตร หนักกว่า 350 กิโลกรัม ต้องใช้แรงผู้ชายราว 7-8 คนถึงจะยกไหว ยามที่สัญญาณลั่นกลองดังขึ้น ‘ราชันย์แห่งกลอง’ เหล่านี้ก็จะส่งเสียงดังกระหึ่มไปทั่ว

กลองเยียนตุนกับธรรมเนียมรับตรุษจีน

เมื่อวันที่ 23 เดือน 12 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นเทศกาลตรุษจีนมาถึง ชายหนุ่มหลายคนช่วยกันขนย้าย ‘กลองเยียนตุน’ ขนาดสูงกว่าตัวคน จากในห้องเก็บของออกมายังลานกลางหมู่บ้าน ชาวบ้านที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำไร่นามาทั้งปีได้มารวมตัวกัน จับกลุ่มรอรับชมการแสดงด้วยท่าทีตื่นเต้น ทันทีที่เสียงแรกของกลองเยียนตุนเริ่มบรรเลงขึ้น ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า เสียงลั่นกลองฉลองตรุษจีนนี้จะยังคงดังต่อเนื่องในตำบลเยียนตุนไปจนกระทั่งสิ้นสุดเทศกาลหยวนเซียว…

TIPS: ‘กลองเยียนตุน’ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.3-1.8 เมตร สูง 2-3 เมตร มีน้ำหนักตั้งแต่ 20-350 กิโลกรัม ไม้ที่ใช้ตีกลองนั้นทำจากไม้เนื้อแข็งผ่าซีก ยาวประมาณ 5-8 ชุ่น (ราว 6.5-10.5 นิ้ว) ส่วนตัวกลองทำมาจากไม้การบูรหรือไม้หนานมู่ ประกอบรวมกับหนังวัว ตอกไม้ไผ่ ตะปูไม้ไผ่ ตะปูไม้ แผ่นไม้และวัสดุอื่นๆ ราคาสั่งทำตกอยู่ที่ใบละประมาณ 2,000-5,000 หยวน (ราว 9,500 -23,750 บาท)

“เดิมทีกลองเยียนตุนมีไว้ใช้ขับไล่ทูตผีปีศาจและใช้สำหรับฝึกทหาร” เมื่อถามถึงที่มาที่ไปของกลองเยียนตุน คนเฒ่าคนแก่ที่นี่มักจะเริ่มต้นเล่าจากแง่มุมด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์และประเพณีท้องถิ่น

กลองเยียนตุนถูกสืบทอดกันมาในแถบหมู่บ้านชนเผ่าจ้วงและชนเผ่าฮั่น ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเยียนตุน อำเภอหลิงซาน เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงมาเป็นเวลายาวนานนับพันปีแล้ว เดิมทีใช้เป็นเพียงเครื่องมือขับไล่สัตว์ร้าย จนกระทั่งถึงสมัยปลายราชวงศ์หมิงที่เกิดศึกสงครามขึ้นบ่อยครั้ง เพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึก จึงจำเป็นต้องสร้างหอสังเกตการณ์ขึ้นบน ‘ยอดเขาเยียนตุน’ ซึ่งเป็นแนวเขากั้นระหว่างหมู่บ้านชนเผ่าหนานเยว่ (Nanyue) ซีโอว (Xi’ou) และลั่วเยว่ (Luoyue) บริเวณชายแดนกวางตุ้งกับกว่างซี เมื่อมีภัยคุกคามจากข้าศึกหรือเกิดเหตุร้ายแรงขึ้น พวกเขาจะจุดไฟและตีกลองเป็นการส่งสารเตือนภัยระหว่างหมู่บ้าน นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘กลองเยียนตุน’ ต่อมาเมื่อภัยสงครามและสัตว์ดุร้ายลดน้อยลง การตีกลองเยียนตุนจึงแปรเปลี่ยนมาเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีฉลองตรุษจีนอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้

ไร้เสียงกลองเยียนตุน มิใช่การฉลองตรุษจีน

หนึ่งในธรรมเนียมฉลองตรุษจีนของชาวเยียนตุนคือ ‘การลั่นกลอง’ ก่อนถึงวันที่ 30 เดือน 12 คืนส่งท้ายปีเก่าตามปฏิทินจันทรคติจีน ชาวบ้านในตำบลเยียนตุนจะลั่นกลองสร้างบรรยากาศครื้นเครงเป็นการอุ่นเครื่องต้อนรับเทศกาล ทั้งยังเป็นเหมือนการส่งจดหมายเชื้อเชิญไปยังหมู่บ้านข้างเคียง ก่อนที่ ‘การแข่งขันประชันกลอง’ ซึ่งเป็นอีเว้นท์หลักประจำปีจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 30 เดือน 12 และไปสิ้นสุดในวันขึ้น 15 ค่ำเดือนอ้าย หรือ คืนเทศกาลหยวนเซียว

ช่วงตรุษจีนชาวบ้านมักอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงมารวมตัวกันจัดการแข่งขันประชันกลองระหว่างหมู่บ้านขึ้น พอฟ้าเริ่มมืด หนุ่มๆก็เริ่มย้ายกลองมาไว้กลางลาน และเริ่มลั่นกลองเป็นการส่งสาสน์ “ท้าดวล” ไปยังหมู่บ้านข้างเคียง อีกหมู่บ้านหนึ่งเมื่อได้ยินก็จะลั่นกลองกลับเป็นการ “รับคำท้า” หมู่บ้านที่เหลือก็ทยอยเข้าร่วมการแข่งขันตามกันมา

ดึกแล้ว แต่เสียงกลองยังคงไม่แผ่วลง มือกลองที่เหนื่อยล้าคอยผลัดเปลี่ยนกันไปพักผ่อน ด้านเจ้าภาพจัดเตรียมโต๊ะจีนไว้รองรับแขก จำนวนโต๊ะน้อยที่สุดหลักสิบ มากสุดหลักร้อยตามจำนวนแขกที่มาร่วมงาน บรรยากาศสนุกสนานครื้นเครง หลังจากฟ้าสว่าง ศึกแห่งการประชันกลองก็สิ้นสุดลง ทั้งผู้แข่งขันและผู้ชมต่างจับมือพูดคุยอย่างเป็นกันเอง นำบ๊ะจ่าง ขนมข้าว เนื้อแดดเดียว และเหล้าจากที่บ้านมาร่วมดื่มฉลองด้วยกัน

สืบทอดตำนานผ่านเสียงกลอง

ปัจจุบันตำบลเยียนตุนมีกลองอยู่มากกว่า 300 ใบ ในจำนวนนั้นมี 4 ใบเป็นกลองโบราณ หนึ่งในนั้นสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง รัชศกกวงสวี่ปีที่ 6 (ค.ศ.1890) ส่วนอีกสามใบสร้างขึ้นในปีที่จักรพรรดิปูยีขึ้นครองราชย์ หรือ ปีเริ่มต้นรัชสมัยเซวียนถ่ง (ค.ศ.1909) แบ่งเก็บรักษาไว้ใน 3 หมู่บ้าน คือ หมู่บ้านสือตุย ลิ่วเฟิ่งและฉางลู่ โดยกลองโบราณทั้ง 4 ใบนี้ล้วนแต่ทำมาจากไม้การบูรหรือไม้หนานมู่ที่มีอายุเกินร้อยปีทั้งสิ้น

TIPS: ‘กลองเยียนตุน’ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของเมืองชินโจว เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2551 ก่อนจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงในวันที่ 3 กันยายนปีเดียวกัน ปัจจุบันนอกเหนือจากการตีกลองเยียนตุนเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนแล้ว ในอำเภอหลิงซานยังมีการนำกลองเยียนตุนมาใช้ในกิจกรรมทางวัฒนธรรมและงานเฉลิมฉลองอื่นๆ ด้วย

หวง ผิงซิว ชายผู้เริ่มฝึกฝนตีกลองตั้งแต่อายุ 5-6 ขวบ และเริ่มเรียนทำกลองตอนอายุ 10 ขวบ ตลอด 40 กว่าปีที่ผ่านมา มีกลองเยียนตุนที่ทำขึ้นจากฝีมือของเขามากกว่า 2,000 ใบ โดยหวงเป็นทั้งผู้สืบทอดวิชากลองเยียนตุน และผู้ฟื้นคืนชีพให้กับกลองโบราณ

‘กลองโบราณสมัยรัชศกกวงสวี่’ เป็นกลองโบราณที่หวงค้นพบโดยบังเอิญ สภาพตอนค้นพบนั้น หนังหน้ากลองเสียหาย ตัวกลองผุกร่อนเกินกว่าจะใช้งานได้ แต่เมื่อเขาลองเปลี่ยนหนังหน้ากลองใหม่ และลองตีดูก็พบกว่าเสียงที่ได้นั้นแจ่มชัดมาก คุณภาพเสียงดีกว่าจนเรียกได้ว่ากลองปัจจุบันนั้นเทียบไม่ติด แม้แต่กลองสมัยยุคสาธารณรัฐก็ยังไม่ดีเท่า การค้นพบนี้จึงทำให้ได้รู้ว่าเทคนิคการทำกลองเยียนตุนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีบางส่วนตกหล่นสูญหายไป

เพื่อที่จะรื้อฟื้นเทคนิคการทำกลองเยียนตุนและก้าวข้ามเทคนิคของบรรพบุรุษ หวงได้ลงมือศึกษากลองโบราณอย่างละเอียด เพื่อหาจุดแตกต่าง และทดลองปรับแก้อยู่หลายรอบ จนในที่สุดก็สามารถสร้างกลองซึ่งให้เสียงเหมือน ‘กลองโบราณ’ จนแยกไม่ออกได้สำเร็จ เมื่อหวงนำกลองฝีมือตัวเองมาบรรเลงข้างกับกลองสมัยกวงสวี่ เสียงที่ได้จากกลองใหม่นั้น นับว่าไม่ได้ด้อยกว่า ‘กลองโบราณ’ เลยแม้แต่น้อย


 

Your email address will not be published. Required fields are marked *