“สบายดี ยินดีต้อนรับขึ้นรถไฟ” จ้าว อิ๋งจิ้ง เจ้าหน้าที่การรถไฟสาขาคุนหมิง พูดทักทายเป็นภาษาลาวได้อย่างคล่องแคล่วระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัว หลังจากฝึกฝนภาษาลาวมาประมาณ 1 ปี เพื่อเตรียมให้บริการผู้โดยสายรถไฟจีน – ลาว ความยาวกว่า 1,000 กม. วิ่งเชื่อมระหว่างนครคุนหมิงของจีนกับนครหลวงเวียงจันทน์ของลาว
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รถไฟจีน-ลาวสายนี้จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ธ.ค. 2564 ซึ่งตรงกับวันชาติของสปป.ลาว โดยคาดว่าจะใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 10 ชม.จากเมืองคุนหมิงมาถึงปลายทางนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งอยู่ห่างจากจ.หนองคายของไทยเพียงแค่ 24 กม.


โครงการรถไฟจีน – ลาวถือเป็นหนึ่งในโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ของจีนซึ่งเชื่อมต่อกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศของลาวที่ต้องการพลิกโฉมจากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล สู่ศูนย์กลางการเชื่อมโยงการขนส่งทางบกในภูมิภาค (from land-locked to land-linked) โดยในอนาคตรถไฟจีน-ลาวจากคุนหมิง-เวียงจันทน์สายนี้จะเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (กรุงเทพฯ-หนองคาย) และโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะก่อให้เกิดการเชื่อมโยงกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและอาเซียนแบบไร้รอยต่อในอนาคต
รถไฟระหว่างประเทศสายประวัติศาสตร์
เส้นทางรถไฟจีน-ลาว ความยาวกว่า 1,000 กม. จากนครคุนหมิง เมืองเอกมณฑลยูนนาน ถึงนครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่
- ช่วงแรก “คุนหมิง-บ่อหาน” ในเขตประเทศจีน ระยะทางความยาวกว่า 500 กม. โดยจีนได้วางเครือข่ายรางรถไฟจากเมืองคุนหมิง มายังเมืองเมืองอวี้ซี ผ่านเมืองผูเอ่อร์ เชียงรุ่ง(สิบสองปันนา) ลงมาถึงชายแดนจีน-ลาวที่เมืองบ่อหาน(ตรงข้ามบ่อเต็นของลาว)
- ช่วงที่สอง “บ่อเต็น-เวียงจันทน์” ในเขตประเทศลาว ระยะทางความยาวประมาณ 414 กม. เป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลลาวและจีน มูลค่าการลงทุนประมาณ 6,000 – 6,800 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.98 – 2.24 แสนล้านบาท) โดยฝ่ายจีนถือหุ้น 70% และรัฐบาลลาว 30% เป็นรถไฟรางเดี่ยวขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ขนาดรางกว้าง 1.435 ม. เชื่อมจากชายแดนลาว-จีน บ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา ผ่านหลวงพระบาง วังเวียง มายังนครหลวงเวียงจันทน์ ประกอบด้วย 32 สถานี แบ่งเป็นสถานีสำหรับขนส่งสินค้า 22 สถานี และสถานีสำหรับผู้โดยสาร 10 สถานี ได้แก่ นครหลวงเวียงจันทน์ โพนโฮง วังเวียง กาสี หลวงพระบาง เมืองงา เมืองไซ นาหม้อ นาเตย และบ่อเต็น
ขบวนรถไฟลาว-จีน ไม่ใช่รถไฟความเร็วสูง แต่เป็นรถไฟความเร็วปานกลาง โดยขบวนรถไฟสำหรับผู้โดยสารกำหนดความเร็ว 160 กม./ชม. ส่วนรถไฟขนส่งสินค้ากำหนดความเร็วไว้ที่ 120 กม./ชม. ทั้งนี้ ระบบได้ออกแบบเผื่อไว้สำหรับการเดินทางพื้นที่ราบตั้งแต่วังเวียงถึงเวียงจันทน์ให้สามารถวิ่งได้ 200 กม./ชม.
โครงการรถไฟจีน-ลาวเริ่มก่อสร้างในเดือนธ.ค.2559 ใช้ระยะเวลาการก่อสร้าง 5 ปี โดยเส้นทางส่วนใหญ่พาดผ่านพื้นที่ทางภาคเหนือของลาวซึ่งเป็นเทือกเขาสูง
มากกว่า 60%ของเส้นทางรถไฟเป็นอุโมงค์เจาะผ่านภูเขาและสะพานสูง ตรงจุดบรรจบของรางรถไฟจาก 2 ประเทศ เป็นอุโมงค์ลอดภูเขายาว 9.68 กม. ปากอุโมงค์อยู่ที่เมืองบ่อหานในฝั่งจีน ลอดทะลุภูเขามาออกยังเมืองบ่อเต็นในฝั่งลาว อุโมงค์แห่งนี้ถูกตั้งชื่อว่า “อุโมงค์มิตรภาพ”
โครงการรถไฟจีน-ลาวสายนี้ยังนับเป็นโครงการเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศสายแรกที่เชื่อมต่อกับระบบรถไฟในจีน โดยจีนเป็นผู้ลงทุนและก่อสร้างเป็นหลัก รวมทั้งใช้มาตรฐานเทคโนโลยีและอุปกรณ์ของจีนทั้งหมด
สำหรับขบวนรถไฟที่จะนำมาวิ่งบนเส้นทางคุนหมิง-นครหลวงเวียงจันทน์ คือ รถไฟ CR200J Fuxing ความเร็ว 160 กม./ชม. เทคโนโลยี Made in China ซึ่งพัฒนาโดย CRRC Corporation Ltd. ผู้ผลิตรถไฟรายใหญ่ที่สุดของจีน โดยราคาตั๋วโดยสารยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการศึกษาและกำหนดราคา
โอกาสและความท้าทายที่ไทยต้องเตรียมพร้อม
อะไรจะเกิดขึ้นหลังรถไฟจีน-ลาวเปิดให้บริการ และไทยควรเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากการมาถึงของรถไฟสายนี้อย่างไร
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ได้เผยแพร่บทความ “รถไฟจีน-ลาว โอกาสและความท้าทายที่ไทยต้องเตรียมพร้อม” โดยสิรีธร จารุธัญลักษณ์ และอภิชญา จึงตระกูล ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ เมื่อเดือนก.ย.2562 โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจระบุว่า รถไฟจีน-ลาวจะช่วยส่งเสริมทางการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน ลดต้นทุนการขนส่งสินค้า ทั้งค่าโดยสารและระยะเวลาจากนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน มาถึงหนองคายใช้เวลาไม่เกิน 15 ชม. เร็วกว่าทางถนนจากนครคุนหมิงถึงเชียงรายที่ใช้เวลาถึง 2 วัน และจากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร คำนวณโดย ธปท. พบว่าจะมีต้นทุนถูกกว่าการขนส่งทางถนนถึง 2 เท่า
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากจีนมากขึ้น คนจีนจะเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยและลาวเพิ่มขึ้น รวมทั้งสินค้าจีนจะมาแข่งขันกับสินค้าไทยในตลาดลาวมากขึ้นด้วย
หากไทยมีการเตรียมพร้อมในการรับมือ เราจะเห็นโอกาสสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ (1) การค้า (2) การบริการและการท่องเที่ยว และ (3) การลงทุนในต่างประเทศ
ด้านการค้า
ไทยจะส่งออกสินค้าไปลาวและจีนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงผลไม้สดและแปรรูป เพราะสินค้าไทยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง และจีนมีกำลังซื้อมหาศาล เฉพาะมณฑลยูนนานมีจำนวนประชากรราว 50 ล้านคน เกือบเท่ากับคนไทยทั้งประเทศ หากเรามีการศึกษาตลาด ไลฟ์สไตล์ และความนิยมให้ดี ก็จะทำให้ส่งออกได้มากขึ้น เนื่องจากทั้งคนจีนและคนลาวมีพฤติกรรมที่นิยมสินค้าไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน สินค้าจากจีนที่จะเข้ามาปริมาณมากขึ้น จะเป็นโอกาสให้ไทยสามารถใช้สินค้าจากจีนที่มีต้นทุนต่ำมาผลิตในอุตสาหกรรมต่อเนื่องได้อีก โดยเฉพาะสินค้าส่งออกสำคัญจากมณฑลยูนนาน ได้แก่ ผัก ผลไม้ ผ้าผืน เคมีภัณฑ์ รวมถึงสินค้าไอทีต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมบางประเภท
ด้านการบริการและการท่องเที่ยว
- หากเส้นทางรถไฟเปิดให้บริการคาดว่านักท่องเที่ยวจีนและลาวจะมาเที่ยวไทยได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนธุรกิจบริการ 3 กลุ่มใหญ่ของไทย ได้แก่
กลุ่มบริการสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล นวดแผนไทย หรือสถานเสริมความงาม เพราะความเชื่อมั่นในคุณภาพ และมาตรฐานสาธารณสุขของไทย รวมทั้งการเดินทางและการผ่านแดนที่สะดวก - กลุ่มห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และโรงแรม เนื่องจากราคาสินค้าและบริการถูก อีกทั้งอาหารและเครื่องดื่มของไทยยังเป็นที่นิยมของทั้งชาวจีนและลาว
- กลุ่มสถานศึกษาและโรงเรียนสอนภาษา ทั้งภาคกลางและภาคอีสานซึ่งมีศักยภาพรองรับนักศึกษาจีนได้มากขึ้น และยังมีแนวโน้มความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่มาจากมณฑลยูนนานและกว่างซีซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแนวรถไฟ เนื่องจากสถานศึกษาในจีนมีไม่เพียงพอ และค่าเรียนในไทยไม่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
ขณะเดียวกันคาดว่านักท่องเที่ยวไทยจะไปเที่ยวลาวและจีนได้สะดวกมากขึ้น เพราะเดินทางด้วยรถไฟจะเร็วกว่าการนั่งรถโดยสาร และราคาถูกกว่าขึ้นเครื่องบิน เส้นทางที่รถไฟสายนี้ผ่านก็เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของลาวทั้งวังเวียงและหลวงพระบาง จุดหมายปลายทางยังเป็นจุดเชื่อมโยงการเดินทางท่องเที่ยวไปยังเมืองอื่น ๆ ในจีนได้อีกด้วย
ด้านการลงทุนในต่างประเทศ
คาดว่าธุรกิจไทยจะสามารถออกไปลงทุนและขยายธุรกิจผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงในลาว เพื่อขยายฐานการค้าในลาวและส่งออกไปยังจีนตอนใต้ เช่น สินค้าสุขภาพ สินค้าออร์แกนิก สินค้าเกษตรแปรรูป รวมไปถึงภาคบริการที่ไทยมีความชำนาญอยู่แล้ว เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการบริหารจัดการโรงแรม เนื่องจากพื้นที่แขวงทางตอนเหนือของลาวที่ติดจีนมีศักยภาพ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และมีเขตเศรษฐกิจพิเศษของลาวตั้งอยู่ ปัจจุบันจึงมีทั้งทุนจีนและทุนไทยขนาดใหญ่เข้าไปลงทุนบ้างแล้ว
ดังนั้น เพื่อสร้างโอกาสและรับมือกับความท้าทายจากโครงการรถไฟจีน-ลาว ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่ต้องทำธุรกิจแข่งกับจีนจำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ เน้นจุดขายที่การพัฒนาและเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรของตนทั้งในด้านทักษะและการสื่อสาร
ขณะที่ภาครัฐควรช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและคนท้องถิ่นได้รับโอกาสจากโครงการนี้ โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภค เทคโนโลยีสื่อสารที่ล้ำหน้า ระบบการชำระเงิน กฎระเบียบที่เอื้อต่อการค้า และการเสริมสร้างทักษะให้กับคนในพื้นที่ อาทิ ส่งเสริมระบบการชำระเงินแบบไร้เงินสดในภูมิภาคให้มากขึ้น เพราะคนจีนค้าขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก ส่งเสริมให้บุคลากรมีความรู้ด้านภาษาจีน ดูแลสถานที่ท่องเที่ยว สถานบริการต่าง ๆ ให้มีมาตรฐานพร้อมรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงลดขั้นตอนกระบวนการทางศุลกากรเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจและขนส่งสินค้า เพื่อให้ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันพร้อมรับกับโอกาสที่เข้ามาอย่างรวดเร็วนี้
มุมมองจากผู้ประกอบการภาคเอกชน
ด้าน ดร. จตุรงค์ บุนนาค ประธานสภาธุรกิจไทย – ลาว และประธานกรรมการที่ปรึกษาสมาคมนักธุรกิจไทยใน สปป.ลาว กล่าวถึงความคืบหน้าและมุมมอง “logistics เส้นทางรถไฟ ลาว – จีน กับโอกาสของไทย” ผ่าน Podcast สถาบันวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจการพาณิชย์ (IBERD) ว่า “จากข้อมูลของกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สปป.ลาว เส้นทางรถไฟจีน – ลาว เชื่อมคุนหมิง-เวียงจันทน์ จะมีการเดินรถวันละ 18 ขบวน โดย 14 ขบวนเป็นการขนส่งสินค้า และ 4 ขบวนเป็นการขนส่งผู้โดยสาร ขบวนละ 600 คน เท่ากับว่าในแต่ละวันจะมีผู้โดยสารเดินทางสัญจรถึงกันได้ 2,400 คนต่อวัน
“ ต่อไปเราจะสามารถนั่งรถไฟจากนครหลวงเวียงจันทน์ ไปถึงชายแดนลาวที่บ่อเต็นโดยใช้เวลา 3 ชม. ต่อจากนั้นใช้เวลาอีก 6 ชม.ก็จะสามารถเดินทางต่อไปถึงคุนหมิง รวมแล้วเท่ากับใช้เวลาประมาณ 9 ชม. ในการเดินทางจากเวียงจันทน์ไปถึงคุนหมิง” ประธานสภาธุรกิจไทย-ลาว ฉายภาพให้เห็นถึงประสบการณ์การเดินทางใหม่ที่จะเกิดขึ้น แน่นอนว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังการเปิดเส้นทางขนส่งสายใหม่ คือทัพสินค้าจีนที่จะหลั่งไหลเข้ามาสู่ภูมิภาคนี้มากขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากมองเป็นโอกาสเส้นทางรถไฟจีน-ลาวสายนี้ก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้สินค้าไทยส่งไปขายในตลาดจีนได้ด้วยเช่นกัน
“ การเปิดใช้เส้นทางรถไฟจีน – ลาวที่จะมีการขนส่งผู้โดยสาร 2,400 คนต่อวัน ถือเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ รวมถึงธุรกิจด้านสุขภาพและการแพทย์ ที่ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับชาวจีนที่จะเดินทางเข้ามามากขึ้น นอกจากนี้ ยังถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจเรียลเอสเตท เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับนักธุรกิจจีนที่จะหลั่งไหลเข้ามาทำธุรกิจมากขึ้นในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษของลาว และเดินทางกลับมาพักอาศัยในไทยที่หนองคาย และอุดรธานี”


อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เส้นทางรถไฟจากคุนหมิงถึงเวียงจันทน์กำลังจะเปิดใช้บริการในเดือนธ.ค.ปีนี้ แต่โครงการรถไฟความเร็วสูงของไทยเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย (ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย)ของไทยเพิ่งจะอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยคาดว่าต้องใช้เวลาอีก 8 ปีจึงแล้วแล้วเสร็จพร้อมเชื่อมต่อกับรถไฟจีน-ลาว ในปี 2572
การจะทำให้เส้นทางรถไฟจีน-ลาวสายนี้เป็นโอกาสของไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเร่งแก้ไขอุปสรรคที่สำคัญนั่นคือ ปัญหา Missing Link ที่ยังขาดจุดเชื่อมต่อกันระหว่างไทยกับรถไฟจีน-ลาว ซึ่งรัฐบาลไทยและลาวต้องเร่งเจรจาร่วมกันเพื่อแก้ปัญหานี้เพื่อให้เกิดความชัดเจน
“ สิ่งสำคัญที่ผมคิดว่าต้องเร่งผลักดันก่อนในตอนนี้ คือ การก่อสร้างสะพานรถไฟที่เป็นสะพานคู่ขนานกับสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 1 ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถบริหารจุดกระจายสินค้าที่หนองคายได้ทันที ดีกว่าจะรอจนกว่ารถไฟความเร็วสูงของไทยแล้วเสร็จในอีก 8 ปีข้างหน้า โดยขณะนี้ภาคเอกชนได้ร่วมกันเร่งผลักดันการบริหารจัดการพื้นที่สำหรับทำเป็นศูนย์กระจายสินค้าและศูนย์โลจิสติกส์ที่หนองคาย ซึ่งได้มีการพูดคุยกันในระดับแผนของจังหวัดเรียบร้อยแล้ว” ประธานสภาธุรกิจไทย – ลาว กล่าว พร้อมทั้งฝากทิ้งท้ายว่า การแผ่ขยายอิทธิพลด้านการค้าการลงทุนของจีนเป็นสิ่งที่ไทยยากจะหลีกเลี่ยง ทางเลือกที่ดีที่สุดจึงต้องมองว่าเราจะอยู่ร่วมกับกระแสทุนจีนที่จะหลั่งไหลเข้ามาได้อย่างไร โดยประสานผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทย ลาวและจีน ให้เติบโตไปด้วยกันแบบวิน-วินกับการมาถึงของทางรถไฟระหว่างประเทศสายประวัติศาสตร์เส้นนี้